มาสด้า เปิดแผน 3 ปี 5 รุ่น ครบ EV–PHEV–ไฮบริด ยัน ICE ไม่ตายแค่ปรับตัว ชูไทยฐานผลิตส่งออก
ท่ามกลางตลาดยานยนต์ไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วเข้าสู่ยุครถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) มาสด้า ประเทศไทย กำลังยืนอยู่บนรอยต่อสำคัญระหว่าง “การรักษาเอกลักษณ์” และ “การเร่งปรับตัว” เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดและสร้างความยั่งยืนในอนาคต
ยอดขายทรงตัว-ตลาดกำลังเปลี่ยน
ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท มาสด้าเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 9,000 คัน ลดลงจากปีที่แล้วที่ขายได้ 9,220 คัน ขณะที่ 6 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายของมาสด้าลดลงกว่า 27 % ส่วนตลาดรวมปีนี้คาดการณ์ทรงตัวที่ 580,000 คัน
“ปัจจัยสำคัญที่กระทบยอดขายมาสด้าในไทยคือ การที่บริษัทไม่มีรถยนต์ไฟฟ้าวางจำหน่าย บวกกับรถอีวีกลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้สถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังซื้ออ่อนแอ พอร์ตสินเชื่อที่เข้มงวดและราคารถมือสองตกต่ำล้วนเป็นแรงกดดันสำคัญ”
กลยุทธ์ “Essential Series” สู้ศึก อีวี ราคาถูก
แม้ยังไม่มี EV จำหน่ายในตอนนี้ แต่มาสด้ายังเดินหน้าปรับไลน์อัปรถยนต์สันดาป (ICE) ให้แข่งขันได้ ด้วยแนวคิด “Essential Series” ได้แก่ Mazda 2, CX-3, CX-30 ซึ่งถูกปรับราคาลง โดยไม่ลดสเปค แต่เพิ่มความคุ้มค่าด้วยการจัดอุปกรณ์ใหม่ให้เหมาะสมในแต่ละรุ่นย่อยเช่น
-Mazda 2 แม้ยอดขายลดลง 21% จากปัญหาสต็อกและสายการผลิตหยุดชะงัก แต่เริ่มฟื้นตัวหลังเปิดตัวรุ่น Essential ใหม่ สถาการณ์เริ่มดีขึ้น
-CX-5 ยอดขายโต 196% หลังปรับอุปกรณ์และตั้งราคาน่าสนใจ
-CX-3 เติบโต 68% ด้วยกลยุทธ์คล้าย CX-5 และการเปิดตัวรุ่น Signature หลังคาดำ ได้รับความนิยม
-รถกระบะ BT-50 แม้ไม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์หลัก แต่ยังคงขายต่อเนื่อง เพื่อเสริมไลน์อัพให้ดีลเลอร์ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด
และล่าสุด เตรียม CX-30 Essential ด้วยการ ปรับราคาอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ตุลาคมนี้
ผลิตภัณฑ์ใหม่ เดิมพัน EV -ไฮบริดเพื่ออนาคต
ส่วนรถใหม่มาสด้า เดินหน้าเปิดตัว 5 รุ่นใหม่ภายใน 3 ปี (2568-2570) ยกระดับสู่แบรนด์เทคโนโลยีสะอาด ประกอบด้วย
BEV 2 รุ่น
-Mazda 6E (EZ6) รถซีดานพลังงานไฟฟ้า พัฒนาร่วมกับ Changan เตรียมเปิดตัวปลายปีนี้
-SUV ครอสโอเวอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ เตรียมเปิดตัวปี 2569 ทั้งคู่จะนำเข้ามาจำหน่าย ราคาสูงกว่า 1 ล้านบาท เจาะกลุ่มบน ไม่แข่งขันในตลาดแมส
แพลตฟอร์ม EV มาสด้าพัฒนาเองทั้งหมด จะเปิดตัวในปี 2570 แพลตฟอร์มนี้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถรองรับขนาดรถยนต์ได้หลากหลาย และสามารถอัปเกรดแบตเตอรี่ได้ทุกรูปแบบในอนาคต มาสด้ายังลงทุนสร้างโรงงานแบตเตอรี่ที่ Iwaki, Yamaguchi โดยร่วมมือกับ Panasonic
PHEV 1 รุ่น
-รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ใช้แพลตฟอร์มขนาดใหญ่ เช่น CX-60–CX-90
HEV 2 รุ่น
-รถยนต์ไฮบริด เปิดตัวในปี 2569–2570 โดยจะใช้ระบบ In-house Hybrid System พร้อมเครื่องยนต์ Skyactiv-G และ Skyactiv-C (หรือ Skyactiv-Z ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ในอุดมคติที่เน้นประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานสูงสุด)
-Compact SUV ไฮบริด จะถูกผลิตในประเทศไทย และเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังหลายประเทศ มีเป้าหมายกำลังการผลิต 100,000 คันต่อปี เริ่มต้นในปี 2027
Monozukuri2.0 และ MBD อาวุธใหม่เร่งการพัฒนา
ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ กล่าวเพิ่มเติม มาสด้าไม่เลือกเดินตามตลาดที่มุ่งไปสู่ EV เพียงอย่างเดียว แต่เน้น Multisolution Strategy พัฒนารถที่ใช้พลังงานหลากหลาย เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งเครื่องยนต์สันดาป (ICE),ไฮบริด (HRV),ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และแบตเตอรี่ไฟฟ้า (BEV) แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของแบรนด์ เช่น Joy of Driving และคุณภาพงานฝีมือแบบญี่ปุ่นต้องยังอยู่ในทุกโมเดล
ขณะเดียวกัน เพื่อให้แข่งขันได้ในยุคอีวี มาสด้าปรับโมเดลธุรกิจด้วย “Monozukuri2.0” โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI และ Model-Based Development (MBD) มาช่วยออกแบบและจำลองระบบรถทั้งคันก่อนสร้างจริง ทำให้สามารถเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ได้เร็วขึ้นถึง 3 เท่า และลดต้นทุนในระยะยาว
บริการหลังการขาย จุดแข็งที่ต้องรักษา
ด้านการบริการ มาสด้ายกระดับประสบการณ์ลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น เว็บไซต์ใหม่ที่กำลังพัฒนา Virtual Showroom และแอป Sky Journey ที่มีฟังก์ชันนัดหมายบริการออนไลน์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความพึงพอใจของลูกค้า
-โปรแกรม Mazda Warranty Plus ขยายความคุ้มครองเป็น 5 ปี สำหรับ 4 ระบบหลักโดยมีเงื่อนไข เช่น ต้องเข้าศูนย์บริการตามกำหนด. มีลูกค้าลงทะเบียนกว่า 17,000 รายใน 3 เดือนแรก
-มีมาตรฐานค่าแรงซ่อมแบ่งเป็น 2 ระดับ ต่างจังหวัดราคา 600 บาท และ กรุงเทพ 680 บาทซึ่งเป็นการปรับลดลงจากเดิม เพื่อให้เกิดมาตรฐานในการซ่อมบำรุง
-อัตราความพร้อมอะไหล่ (Part Fill Rate) สูงถึง 97% ซึ่งหมายถึงความสามารถในการตอบสนองการสั่งซื้ออะไหล่ได้ทันทีเกือบทั้งหมด. อะไหล่ในกรุงเทพฯ ส่งถึงในวันถัดไป และต่างจังหวัดภายใน 48 ชั่วโมง. ถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญของมาสด้า
-การช่วยเหลือลูกค้าในพื้นที่ห่างไกลมอบคูปองน้ำมัน 500 บาท สำหรับลูกค้าที่ขับรถข้ามจังหวัดมายังศูนย์บริการ
-โชว์รูม 85 แห่งทั่วประเทศ (กรุงเทพฯ 19, ต่างจังหวัด 66) มีการเปิดโชว์รูมใหม่ 4 แห่งล่าสุด (รัตนาธิเบศร์, นครศรีธรรมราช, ปักช่อง, ปักธงชัย โคราช). พร้อมขยายอีกในทำเลสำคัญ
ยกไทยศูนย์กลาง Compact SUV ไฮบริด
ประเทศไทยยังคงมีบทบาทสำคัญในเครือข่ายการผลิตของมาสด้า โดยมีโรงงานทั้ง AAT และ NBMT เป็นฐานการผลิตหลัก ล่าสุด มาสด้าประกาศลงทุนเพิ่มเพื่อผลิต Compact SUV ไฮบริด ในปี 2570 สำหรับส่งออกตลาดต่างประเทศ โดยวางกำลังการผลิตไว้ที่ 100,000 คัน/ปี
ในขณะเดียวกัน โรงงานในจีน (Changan Mazda Auto) จะเน้นผลิต EV ขณะที่โรงงานในเม็กซิโกและสหรัฐฯ จะผลิตรถสำหรับตลาดอเมริกาเหนือ
การเดิมเกมอย่างผู้ตามที่เลือกเวลา
แม้ในอดีตมาสด้าเคยมียอดขายสูงถึง 70,000 คันต่อปี แต่มุมมองใหม่ของบริษัทคือ "ไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน" โดยจะพัฒนาไลน์อัปให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ แต่ไม่ต้องมีทุกรุ่นในทุกขนาด มุ่งหวัง รักษาฐานลูกค้าเดิม และดึงลูกค้ากลับเข้าสู่แบรนด์ ผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่และบริการที่ตอบโจทย์จริง
ในสมรภูมิที่อีวี กำลังเปลี่ยนเกม มาสด้าเชื่อว่า เครื่องยนต์ จะยังอยู่ และการพัฒนาไฮบริด และรถไฟฟ้า ในจังหวะที่เหมาะสมคือกุญแจสำคัญอย่างยั่งยืนในตลาดไทย
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO