ผ่าเกม "ตลาดหุ้นไทย" แข่งยังไงให้ชนะในสมรภูมิตลาดอาเซียน
โลกการลงทุนที่เคลื่อนไหวรวดเร็วและไร้พรมแดน ตลาดหุ้นในอาเซียนกลายเป็นเวทีแข่งขันสำคัญสำหรับนักลงทุนทั่วโลกขณะที่ เวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซียเดินหน้าด้วยการปฏิรูปโครงสร้าง สร้างความเชื่อมั่น และดึงดูดทุนจากต่างชาติ ตลาดหุ้นไทยกลับต้องเผชิญภาวะซบเซาและปัญหาโครงสร้างที่สะสมมาอย่างยาวนาน
คำถาม คือ ตลาดทุนไทยรักษาจุดแข็งเดิมไว้ได้หรือไม่ ? และ เราจะยืนอยู่ตรงไหนในเกมการแข่งขันของอาเซียน ?
"อัสสเดช คงสิริ" กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดแผนฟื้นตลาดหุ้นไทยว่า ในวันนี้ตลาดหุ้นไทยเผชิญความผันผวนค่อนข้างมาก ที่นอกเหนือจากประเด็นการเจรจาการค้ากับสหรัฐที่ที่ต้องติดตามแล้วนั้น
โลกยังมีอีกหลายเรื่องราวที่กำลังเปลี่ยนแปลง อาทิ EU พิจารณาธุรกิจต่างๆปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากน้อยแค่ไหนซึ่งจะกระทบการตัดสินใจลงทุน เป็นต้น ปัจจัยทั้งหมดส่งผลให้นักลงทุนหลายคนไม่กล้าลงทุน
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นก็คือ เศรษฐกิจไทยวันนี้ทางแบงก์ชาติคาดการณ์จีดีพีเติบโต 2.3% สวนทางกับเวิล์ดแบงก์ที่มองว่าต่ำกว่า โดยแบงก์ชาติมองว่าครึ่งปีแรกจีดีพียังเติบโตราว 3% ไม่ว่าตัวหารในช่วงครึ่งปีหลังจะเกิดอะไรขึ้นแต่สิ่งที่แบงก์ชาติอยากเห็นคือการจัดสรรงบประมาณภาครัฐที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนให้กลับมาได้
ขณะที่การส่งออกแม้จะเกิดกรณีเลวร้ายแค่ไหนทางแบงก์ชาติคงมองส่งออกเฉลี่ยทั้งปีนี้เติบโต อีกทั้งนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพเข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้
ขณะที่ความมั่นคงของประเทศถือว่าค่อนข้างดี ธนาคารแข็งแกร่ง พันธบัตรภาคเอกชนในวันนี้ที่มีกระแสความเสี่ยงแต่ภาพรวมยังถือว่าดี การคัดเลือกและให้เรตติ้งถือว่าดี แต่บางเหตุการณ์ที่อาจจะทำให้ตกใจอาจต้องพิจารณาแยกแยะให้ดี
หากดูตามที่บริษัทจดทะเบียนของไทย ณ วันนี้ในส่วนของ P/E อยู่ในระดับต่ำ แต่ Dividend Yield ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับภูมิภาค ซึ่งโดยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังเติบโตไม่ใช่ทดถอย อีกทั้ง หากมองตามพื้นฐานของนักวิเคราะห์หลายแห่งมองว่า Downside Risk ค่อนข้างต่ำ
ด้านสภาพคล่องหลายวันที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยต่ำกว่าสิงคโปร์ เริ่มเห็น 26,000 ล้านบาทถือว่าน่าเป็นห่วงเและต้องหาทางแก้แต่ก็ยาก แม้จะมีโปรแกรม Thai ESGX ตอนนี้ยังมี LTF ค้างอยู่กว่าแสนล้านบาทซึ่งอาจจะกดดันในอนาคต ดังนั้นจึงต้องกลับมาที่ปัจจัยพื้นฐานบริษัทหากไม่สามารถสร้างความน่าสนใจต่อนักลงทุนได้ก็ดึงสภาพคล่องกลับเข้ามาไม่ได้
ดังนั้นกลับมาที่พื้นฐานของสินค้าและธุรกิจของตลาดทุน หน้าที่หลักของ ตลท. คือ"สร้างโอกาส" ซึ่ง DR เป็นโอกาสการลงทุนหุ้นต่างประเทศ คนไทยลงทุนได้โดยไม่ต้องขนเงินไปลงทุนในต่างประเทศ วันนี้ความนิยมใน DR เพิ่มขึ้น 20% มาร์เก็ตแคปเติบโตเร็ว
นอกจากนี้ ก.ล.ต. เร่งผลักดัน TISA หาทางควบรวมโปรแกรมทั้งหมดอยู่ในที่เดียว อาทิ กองทุนรวม LTF เข้ามาอยู่ในระบบเดียวกันเพื่อลดความผันผวนในอนาคต
โดย TISA สร้างดีมาน์ซัพพลายควบคู่กันและสร้างการออมระยะยาว ซึ่งอาจซื้อได้ทั้งหุ้น, ETF, DR และพันธบัตร เพื่อจัดพอร์ตลงทุนได้ในที่เดียว เป็นต้น แต่ NISA สร้างดีมานด์ ส่วนตัวคาดหวังว่าโครงการ TISA ชัดเจนในปี 2568 นี้
เสน่ห์ ? ตลาดทุน
- Wellness Tourism
- ยิลด์สูง 3 ปี แตะระดับ 5.58%
- Sustainability ทำดีทำถึงทำต่อ
"Valuation ของไทยถูก แต่ถ้าถูกแล้วไม่มีอัพไซด์ก็สร้างความสนใจได้ยาก"
การซื้อหุ้นคืน เป็นสัญญาณสะท้อนความเชื่อมั่นพื้นฐานของบริษัท แต่แทนที่จะซื้อหุ้นคืนนำเงินไปลงทุนธุรกิจเพิ่มเติมดีกว่าหรือไม่ เพราะถ้าไม่ลงทุน นั่นแปลว่าโอกาสทางเศรษฐกิจและการแข่งขันของไทยถดถอยหรือไม่ หลายบริษัทพึ่งพาการบริโภคในประเทศ หนี้ครัวเรือนที่สูงทุกคนจึงต้องงดการลงทุน ตลท.ต้องมาดูว่าจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร
"การซื้อหุ้นคืนเพราะเงินเหลือเยอะและมีการลงทุน แต่เวลาลงทุนต้องดูว่าเวลาประกาศซื้อหุ้นคืน บริษัทนั้นมีเงินเหลือไปลงทุนหรือไม่ เท่าที่ดูบริษัทก็ไปลงทุน"
อัสสเดช เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ ทั้งกลุ่มเฮลท์แคร์ที่เติบโต เพียงแต่ต้องสื่อสารให้นักลงทุนทราบ ที่สำคัญหากการเจรจาภาษีสหรัฐฯมีข้อตกลงที่ชัดเจนและไทยสามารถแข่งขันการค้าระหว่างประเทศได้จะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นและวิเคราะห์ได้ว่าอุตสาหกรรมไหนสามารถแข่งขันได้ ผสานการใช้งบประมาณของประเทศในช่งครึ่งปีหลังได้จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้
"วันนี้ทรัพย์สินหรือสินค้าของไทยน่าสนใจน้อยลงในพื้นฐาน หากดูอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น(Return On Equity:ROE)ของแต่ละบริษัท อย่าง คอสโก ROE แตะ30% โตต่อเนื่อง ผมลองเซิร์จถามเอไอว่าบริษัทจดทะเบียนไทยที่มี ROE มากกว่า 30% มีกี่บริษัท เชื่อหรือไม่ว่ามีเพียง 15 บริษัทเท่านั้น ดังนั้นความหวังคือโครงการจั๊มพ์พลัส(JUMP+)จะช่วยผลักดันอนาคตและโอกาสการแข่งขันในตลาดอาเซียน"
อนาคตตลาดหุ้นไทยจะไม่ถูกกำหนดด้วยอดีตอีกต่อไป หากแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจวันนี้ ทั้งนโยบาย ความโปร่งใส กลไกการระดมทุน และการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ที่ตอบโจทย์นักลงทุนทั่วโลก ตลาดหุ้นไทยต้องกล้าปรับโครงสร้าง รื้อระบบที่ล้าหลัง และสร้างมาตรฐานใหม่ หากหวังจะกลับมายืนหนึ่งในอาเซียนท่ามกลางกระแสทุนที่พร้อมเปลี่ยนทิศทางได้ทุกเมื่อ
ตลาดทุนไม่รอใคร และประเทศไทยก็ไม่ควรหยุดนิ่งอีกต่อไป.