เตรียมรับแรงกระแทก
การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐอเมริกา อิหร่าน และอิสราเอล แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะชิงประกาศให้ 2 ชาติหยุดยิง เมื่อวันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา หลังจากกองทัพสหรัฐฯ ประกาศว่าได้โจมตีฐานนิวเคลียร์สำคัญ 3 แห่งในอิหร่านเสร็จสิ้นแล้ว ได้แก่ ฟอร์โดว์, นาตันซ์ และอิสฟาฮาน นับเป็นการยกระดับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการลุกลามเป็นสงครามระดับภูมิภาค
กระนั้น สถานการณ์กลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่ทรัมป์ประกาศไว้
ส่วนแรงกระแทกสำหรับประเทศไทย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด รวมถึงความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคพลังงาน ซึ่งกระทรวงการคลังมีการติดตามและเตรียมการรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในทุกด้าน
“หากความขัดแย้งในตะวันออกกลางยืดเยื้อจนถึงจุดที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้ แม้ว่าโดยธรรมชาติแล้วอุปทานน้ำมันทั่วโลกจะไม่ได้ขาดแคลนก็ตาม ทั้งนี้ การปรับขึ้นของราคาน้ำมันจะเป็นผลจากเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งโดยตรง” นายพิชัยระบุ
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่
ราคาพลังงาน
การเคลื่อนย้ายเงินทุน
โดยในส่วนของประเทศไทย แม้อัตราเงินเฟ้อโดยรวมจะอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ แต่มีปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ได้แก่ ราคาสินค้าพลังงาน และสินค้านำเข้าบางชนิด เช่น ปุ๋ย ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนย้ายเงินทุนยังเป็นอีกปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากได้รับผลจากหลายองค์ประกอบ ไม่เพียงแต่อัตราดอกเบี้ย แต่ยังรวมถึงความเชื่อมั่นในค่าเงิน และสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เช่น คริปโตเคอร์เรนซี และทองคำ
เบื้องต้น ได้มีคำสั่งให้มีการปรับปรุงกติกาตลาดทุนใหม่อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ปรับลดลงมากนักภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่าคนไทยต้องเตรียมรับมือทั้งผลกระทบจากสงครามตะวันออกกลาง สงครามการค้า ความตึงเครียดชายแดน และล่าสุดคือวิกฤติการเมืองไทย นอกจากจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแกร่ง ยังขอให้พระสยามเทวาธิราชคุ้มครองปวงชนชาวไทย ขอให้โชคดี