CIB ทลายเครือข่ายฉ้อโกงภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำรัฐเสียหายกว่าพันล้าน
บช.ก. 30 มิ.ย. – ตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมกรมสรรพากร ทลายเครือข่ายฉ้อโกงภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำรัฐเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท สร้างการซื้อขายเท็จ ปั่นราคาสินค้า ก่อนขอคืน Vat เกินจริง
พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชวนาศัย รอง ผบช.ก. และนายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร, นางสาวเอื้อมเดือน สุขะวัลลิ ผู้อำนวยการกองตรวจสอบภาษีกลาง แถลงเปิดปฏิบัติการปิดเกมกลโกงภาษี ทลายกลุ่มเครือข่ายฉ้อโกงภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้รัฐเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท จับกุมเจ้าที่กรมสรรพากร จำนวน 55 นาย ฐานความผิดร่วมกันออกไปกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิจะออกเอกสารดังกล่าว ตามมาตรา 86/13 ร่วมกันเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่มหรือเอาคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกระทำการใดๆ โดยความเท็จโดยฉ้อโกงหรืออุบายโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน และเจตนานำใบกำกับภาษีหรือใบกำกับภาษีที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมายไปใช้ในการเครดิตภาษี ต้องระวังโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี
พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผบก.ปอศ. กล่าวว่า กลุ่มสรรพากรได้ตรวจสอบพบการกระทำความผิดของผู้ประกอบการซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเครือข่ายฉ้อโกงภาษีรัฐ จึงประสานข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลจึงทราบกลุ่มของผู้ต้องหาประกอบไปด้วยคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง พนักงานลูกจ้าง รวมถึงเพื่อนและคนรู้จัก ทำการจัดตั้งร้านค้าและบริษัทแล้วจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20 ) เป็นจำนวนกว่า 20 แห่งแล้วแสร้งทำทีว่า มีการซื้อขายสินค้าระหว่างกันเป็นทอดๆโดยไม่มีการซื้อขายสินค้ากันจริง โดยมีเจตนาสร้างภาพการซื้อขายเท็จเพื่อทำให้ราคาของสินค้าสูงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจะมีการออกใบกำกับภาษีระหว่างร้านค้าและบริษัทในเครือข่ายของตน ในลักษณะแบ่งกันไปมาเป็นทอดๆ จะทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้นซึ่งจะทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% เพิ่มขึ้นตามราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วยจนท้ายที่สุดจะใช้บริษัทซึ่งจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการส่งออกทำการซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการในกลุ่มเครือข่ายทอดสุดท้าย ซึ่งสินค้าจะมีราคาที่สูงเกินจริง และภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
สุดท้าย บริษัท ดังกล่าวจะทำการซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการในกลุ่มเครือข่ายในราคาสูงเกินจริง พร้อมกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น แล้วส่งออกสินค้าไปยังประเทศเมียนมา โดยมีลูกค้าฝั่งเมียนมาเป็นคนในเครือข่ายเช่นกัน จากนั้นจะนำหลักฐานการส่งออก ไปขอคืนภาษีกับกรมสรรพากร
จากห้วงระยะเวลาปี พ.ศ.2564-2565 พบว่ากลุ่มเครือข่ายของผู้ต้องหาได้ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากรเป็นจำนวนเงินกว่า 150 ล้านบาท และจากการประเมินภาษีพบว่ามีมูลค่าความเสียหายจากการกระทำความผิดของกลุ่มผู้ต้องหาทั้งเครือข่ายเป็นจำนวนเงินกว่า 1,000 ล้านบาท เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้ดำเนินการตรวจสอบรวบรวมจากหลักฐานยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อขอหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจำนวน 10 ราย และได้ยื่นคำร้องขอหมายค้นเพื่อเข้าทำการตรวจค้นสถานประกอบกิจการของกลุ่มเครือข่ายที่เกี่ยวข้องอีก 14 จุด ประกอบด้วย จ.ตาก 11 จุด เชียงใหม่ 2 จุด กทม. 1 จุด ตลอดระยะเวลาการเข้าตรวจค้นจับกลุ่มผลการปฏิบัติการเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ครบถ้วนทั้ง 10 ราย และตรวจยึดของกลางเพื่อเป็นพยานหลักฐาน อุปกรณ์ในการใช้ในการกระทำความผิด และเอกสารจำนวน 100,000 ฉบับ
สอบถามคำให้การเบื้องต้นผู้ต้องหาบางรายให้การรับสารภาพและบางรายให้การปฏิเสธจากนั้นจึงได้นำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.-415-สำนักข่าวไทย