โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

คนอึดทรุด "บรูซ วิลลิส" เผชิญ FTD สูญเสียพูด-เคลื่อนไหว

Thai PBS

อัพเดต 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Thai PBS
บรูซ วิลลิส วัย 70 ปี ซึ่งกำลังต่อสู้กับภาวะ FTD ที่ครอบครัวแจ้งว่า “คนอึด” อาการแย่ลง ไม่สามารถพูด อ่าน และมีปัญหาการเคลื่อนไหว แต่พระเอกฮอลีวูดยังคงเต็มไปด้วยความรักและการสนับสนุนจากคนรอบข้าง ที่สร้างความตระหนักรู้ถึงความท้าทายในการดูแลผู้ป่วย FTD

วันนี้ (22 ก.ค.2568) บรูซ วิลลิส ในวัย 70 ปี ใช้ชีวิตหลังเกษียณกับภาวะสมองเสื่อมส่วนหน้าและขมับ (Frontotemporal Dementia หรือ FTD) ที่ได้รับการวินิจฉัยในปี 2566 หลังจากที่เขามีอาการสูญเสียการสื่อความ (Aphasia) มาตั้งแต่ปี 2565

รายงานล่าสุดจากเว็บไซต์ Primetimer ชี้ว่าอาการของเขาได้ทรุดลง โดย "คนอึด" ได้สูญเสียความสามารถในการพูดและอ่าน รวมถึงมีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวร่างกายที่เริ่มปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ อย่างไรก็ตาม ครอบครัววิลลิสยังคงให้ข้อมูลในเชิงให้กำลังใจ โดยระบุว่าสถานการณ์ยังคง "ทรงตัวและอยู่ในการดูแลอย่างเข้มงวด" และขอบคุณสำหรับความรักที่หลั่งไหลมาจากทั่วโลก

อดีตภรรยาของบรูซ "เดมี มัวร์" ก็ยืนยันว่าอาการของบรูซ "ทรงตัวอย่างมาก" นับตั้งแต่ได้รับการวินิจฉัย เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาเป็น

บรูซ วิลลิส และ เดมี มัวร์ อดีตภรรยา

แม้จะเผชิญกับความท้าทายอันหนักหน่วงจากโรคนี้ ครอบครัววิลลิส โดยเฉพาะเอมม่า เฮมมิง วิลลิส ภรรยาของเขา และลูกสาวทั้ง 5 ได้ออกมาแบ่งปันเรื่องราวและอัปเดตอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความรักและความเข้มแข็งภายในครอบครัว

โพสต์บนอินสตาแกรมจากเดือน มิ.ย. โดยทาลูลาห์และรูเมอร์ ลูกสาวของบรูซ ได้สะท้อนภาพช่วงเวลาที่เปี่ยมด้วยความหมาย เช่น การจับมือ การกอด และการแสดงความขอบคุณ แม้บรูซจะมีความสามารถในการสนทนาลดลง

บรูซ วิลลิส และลูกสาว

ส่วนเอ็มมา เฮมมิง วิลลิส ภรรยาคนปัจจุบัน ได้ผันตัวมาเป็นผู้สนับสนุนการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม โดยเปิดเผยถึงความสับสนและขาดแคลนข้อมูลในช่วงแรกที่สามีได้รับการวินิจฉัย และต้องการใช้ประสบการณ์ของตนเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความท้าทายในการดูแลผู้ป่วยโรคนี้ โดยการนำเสนอข่าวส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การดูแลด้วยความเมตตา การรักษาศักดิ์ศรีของผู้ป่วย และการใช้ชื่อเสียงของบรูซเพื่อเผยแพร่ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคสมองเสื่อมที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก รวมถึงความต้องการของผู้ดูแล

บรูซ วิลลิส และ เอ็มมา เฮมมิง วิลลิส ภรรยาคนปัจจุบัน

ทำความเข้าใจภาวะ FTD

ภาวะสมองเสื่อมส่วนหน้าและขมับ หรือ FTD เป็นชื่อเรียกรวมของกลุ่มความผิดปกติของสมองที่ส่งผลกระทบหลักต่อสมองส่วนหน้า (Frontal lobes) และสมองส่วนขมับ (Temporal lobes) ซึ่งบริเวณเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพ พฤติกรรม และภาษา ในภาวะ FTD ส่วนต่าง ๆ ของสมองเหล่านี้จะฝ่อตัวหรือเสื่อมลง (Atrophy) ทำให้เกิดอาการที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าสมองส่วนใดได้รับผลกระทบ

FTD แตกต่างจากโรคอัลไซเมอร์ซึ่งมักจะมีอาการหลักคือปัญหาความจำ

FTD มักจะเริ่มแสดงอาการในช่วงอายุ 40-65 ปี แม้จะพบในผู้สูงอายุได้เช่นกัน และเป็นสาเหตุของภาวะสมองเสื่อมประมาณร้อยละ 10-20 ของผู้ป่วยทั้งหมด โรคนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยอาการจะค่อย ๆ เพิ่มความรุนแรงและถี่ขึ้นตามกาลเวลา ซึ่งอาจใช้เวลาตั้งแต่ 2-20 ปี

อาการหลักของ FTD

การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมและบุคลิกภาพ เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด ผู้ป่วยอาจแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทางสังคมมากขึ้น สูญเสียความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ขาดการยับยั้งชั่งใจ ขาดการตัดสินใจ มีภาวะเฉยเมย ซึ่งอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคซึมเศร้า มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ หรือย้ำคิดย้ำทำ เช่น การตบมือ หรือเลียริมฝีปาก การเปลี่ยนแปลงสุขอนามัยส่วนบุคคล และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน เช่น กินมากเกินไป หรือชอบของหวานและคาร์โบไฮเดรตมากเป็นพิเศษ ผู้ป่วยบางรายอาจไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเอง

อาการด้านการพูดและภาษา FTD บางชนิดทำให้ความสามารถทางภาษาเปลี่ยนไปหรือสูญเสียการพูดไป ผู้ป่วยจะประสบปัญหามากขึ้นในการใช้และทำความเข้าใจภาษาทั้งจากการเขียนและการพูด ในระยะแรก อาการมักเริ่มต้นจากการมีปัญหาในการหาคำพูดที่ถูกต้อง จากนั้น จะเริ่มไม่สามารถสร้างประโยคได้ตามหลักไวยากรณ์ หรือแม้แต่สูญเสียความหมายของคำศัพท์ที่คุ้นเคยไป การพูดอาจกลายเป็นแบบติด ๆ ขัด ๆ หรือใช้ประโยคง่าย ๆ แค่ไม่กี่คำ

อาการด้านการเคลื่อนไหว อาจแสดงอาการคล้ายกับโรคพาร์กินสัน หรือ ALS เช่น อาการสั่น การแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อ การกระตุก การประสานงานของร่างกายที่ไม่ดี ปัญหาในการกลืน การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ การหัวเราะหรือร้องไห้ที่ไม่เหมาะสม การล้มบ่อย หรือปัญหาในการเดิน ภาวะ FTD ยังอาจทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางกายภาพ เช่น ปอดบวม การติดเชื้อ หรือการบาดเจ็บจากการหกล้ม

สาเหตุ การวินิจฉัย และการดำเนินของโรค

ข้อมูลจากสถาบันทางการแพทย์สหรัฐฯ Mayo Clinic ระบุถึงสาเหตุของ FTD มักไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่มีการพบว่าการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมบางอย่างมีความเชื่อมโยงกับ FTD โดยประมาณร้อยละ 40 ของผู้ป่วยมีประวัติครอบครัวเป็นโรคสมองเสื่อมหรือโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น ALS ซึ่งทำให้ FTD เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้บ่อยกว่าโรคอัลไซเมอร์

การวินิจฉัย FTD มักต้องอาศัยการซักประวัติอย่างละเอียดจากผู้ป่วย ครอบครัว หรือผู้ดูแล รวมถึงการตรวจทางระบบประสาท อาจมีการทดสอบการรับรู้ และการตรวจภาพสมองด้วย MRI หรือ PET scan เพื่อดูโครงสร้างและการทำงานของสมอง การวินิจฉัยที่ถูกต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากยาที่ใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์นั้นไม่มีประสิทธิผลกับผู้ป่วย FTD FTD เป็นโรคที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและทำให้ช่วงชีวิตสั้นลง โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 7-13 ปีหลังจากเริ่มมีอาการ

การดูแลและรักษาผู้ป่วย FTD

ปัจจุบัน ยังไม่มียาหรือการรักษาใด ๆ ที่ได้รับการอนุมัติให้สามารถป้องกัน รักษา หรือชะลอการเสื่อมของภาวะ FTD ได้ อย่างไรก็ตาม การจัดการอาการต่าง ๆ ของ FTD สามารถทำได้ โดยเน้นการรักษาแบบองค์รวมและไม่ใช้ยาเป็นลำดับแรก ควบคู่ไปกับการใช้ยาหากจำเป็น

การจัดการอาการแบบไม่ใช้ยา

  • การบำบัดด้วยการพูดและภาษาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นักบำบัดจะทำงานช่วยให้สมองมีส่วนร่วมและสามารถเข้าถึงคำศัพท์และสื่อสารข้อความสำคัญได้
  • การรักษากิจวัตรประจำวันที่คาดเดาได้ เช่น เวลาอาหาร งานบ้าน กิจกรรมทางกาย กิจกรรมยามว่าง การเข้าสังคม และตารางการนอนหลับที่สม่ำเสมอ จะช่วยสร้างกรอบที่สำคัญสำหรับทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล
  • ความยืดหยุ่น เนื่องจากแนวทางการดำเนินของโรค FTD นั้นคาดเดาได้ยาก ทั้งผู้ดูแลและผู้ป่วยควรพยายามมีความยืดหยุ่น หากกิจกรรมใดที่เคยเพลิดเพลินเริ่มก่อให้เกิดความหงุดหงิด ก็ถึงเวลาที่จะต้องปรับเปลี่ยน
  • การปรับมุมมองของผู้ดูแล ควรปรับความคาดหวังของตนเอง เนื่องจากผู้ป่วย FTD มักไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมได้ การสังเกตและหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่นำไปสู่อาการบางอย่าง จะมีประสิทธิภาพมากกว่าการพยายามแก้ไขพฤติกรรมหลังจากที่เกิดขึ้นแล้ว
  • การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ป่วย เพื่อกระตุ้นสมอง
  • เคล็ดลับการสื่อสาร ควรพูดกับผู้ป่วยโดยตรง สบตา พูดช้า ๆ และเรียบง่าย ด้วยน้ำเสียงปกติ ให้เวลาพวกเขาตอบ เน้นที่สิ่งที่ผู้ป่วยพยายามจะสื่อ ไม่ใช่เน้นที่วิธีการสื่อสาร

การใช้ยาเพื่อจัดการอาการ

  • ยากลุ่ม SSRIs มักมีประโยชน์ในการรักษาอาการทางพฤติกรรมหลายอย่าง เช่น ภาวะเฉยเมย ภาวะซึมเศร้า อาการกระสับกระส่าย ความวิตกกังวล และพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำ
  • ยาต้านโรคจิต ควรหลีกเลี่ยงหากเป็นไปได้ เนื่องจากมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการเสียชีวิต โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะแทรกซ้อนที่หัวใจในผู้ป่วยสมองเสื่อมสูงอายุ
  • ยาอื่นๆ ยาที่ใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์ เช่น ยากลุ่ม Cholinesterase Inhibitors (เช่น donepezil) และ Memantine ไม่ได้ผลในการรักษา FTD และอาจทำให้อาการทางพฤติกรรมแย่ลงได้ ยาในกลุ่ม Benzodiazepine ก็ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากอาจเพิ่มความสับสนและเสี่ยงต่อการหกล้มได้

การดูแลผู้ป่วย FTD เปรียบเสมือนการเดินทางในหมอกหนาทึบ ที่ไม่มีแผนที่ชัดเจน แต่มีเข็มทิศเป็นความรัก ความเข้าใจ และความยืดหยุ่นในการปรับตัว เพื่อให้ทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถก้าวเดินต่อไปได้ด้วยความสงบและมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ที่มาข้อมูล : Fandomwire, Healthandme, Mayoclinic, Primetimer, Wellness

อ่านข่าวอื่น :

รู้ก่อนเริ่มออกกำลังกายแบบ "พิลาทิส" คืออะไร ต่างกับ โยคะ อย่างไร

"โรม" เหน็บ "ทักษิณ" ใช้บารมีสุดท้ายประคอง "เพื่อไทย-ตระกูลชิน"

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thai PBS

นาฏกรรมสลด 39 เหยื่อตึก สตง.ถล่ม ตกค้าง 4 เดือน ไร้รัฐเยียวยา

10 นาทีที่แล้ว

"ทักษิณ" ปลุกสามัคคีบอกพรรคร่วมไม่ทิ้งกัน ซัด ภท.ถอนตัวไม่สุภาพบุรุษ

29 นาทีที่แล้ว
วิดีโอ

ตรวจสอบเบิกจ่ายเงิน โครงการ "พุทธอุทยานนครสวรรค์"

37 นาทีที่แล้ว
วิดีโอ

"ทักษิณ" ร่วมวงดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาล

58 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าว ต่างประเทศ อื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม

ประกาศสถาปนา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์

Thai PBS

คนอึดทรุด "บรูซ วิลลิส" เผชิญ FTD สูญเสียพูด-เคลื่อนไหว

Thai PBS

ทักษิณ "เป่ามนต์" ร่วมดินเนอร์พรรคร่วม ทางรอด (ที่) เหลือ "พท."

Thai PBS
ดูเพิ่ม
Loading...