‘เบิร์กเชียร์’ บันทึกด้อยค่า Kraft Heinz 1.2 แสนล้านบาท กำไรลดฮวบ
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า“เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์” (Berkshire Hathaway) ของวอร์เรน บัฟเฟตต์เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ (3 ส.ค.) ว่า บริษัทได้ “บันทึกด้อยค่า” มูลค่า 3.76 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 1.2 แสนล้านบาท จากการถือหุ้นใน“Kraft Heinz” บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภค (เช่น ซอสมะเขือเทศ Heinz) ในไตรมาสที่สอง ซึ่งสะท้อนว่าการลงทุนที่มีมายาวนานกว่า 10 ปีครั้งนี้ ไม่ได้ผลตามที่คาดหวังไว้
ไม่เพียงเท่านั้น เบิร์กเชียร์ยังรายงานผลกำไรจากการดำเนินงานรายไตรมาส “ลดลง 4%” เนื่องจากรายได้จากการรับประกันภัยลดลง ขณะที่การบันทึกขาดทุนและผลกำไรจากหุ้นสามัญที่ลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิรวม “ลดลงถึง 59%”
อย่างไรก็ตาม บริษัทรายงานว่า มีเงินสดสะสมอยู่เกือบแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 344,100 ล้านดอลลาร์ และขายหุ้นมากกว่าที่ซื้อ เป็นไตรมาสติดต่อกันเป็นครั้งที่ 11 โดย ณ กลางเดือนกรกฎาคม เบิร์กเชียร์ยังไม่ได้ซื้อหุ้นคืนของตัวเองเลยตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2024
ไคล์ แซนเดอร์ส นักวิเคราะห์จากบริษัท Edward Jones กล่าวว่า “นักลงทุนเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย และอยากเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่าง แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น” และเสริมว่า “บัฟเฟตต์มองว่า ตลาดยังประเมินมูลค่าสูงเกินไป และจะรอจังหวะจนกว่ามีโอกาสเหมาะ ๆ เข้ามาเอง”
“ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้า รวมถึงภาษีนำเข้า ได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยคำสั่งซื้อและการจัดส่งสินค้าที่ล่าช้า ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจผู้บริโภคส่วนใหญ่ในเครือ Berkshire ลดลง
เหล่านักวิเคราะห์ต่างมองว่า ผลประกอบการโดยรวมของ Berkshire ไม่โดดเด่นนัก หรือค่อนข้างน่าผิดหวัง โดยแคธี ไซเฟิร์ต นักวิเคราะห์จาก CFRA Research กล่าวว่า “ฉันไม่คิดว่าตลาดจะตอบรับได้ดีกับการรวมกันของผลประกอบการที่อยู่ในระดับปานกลาง การไม่มีการซื้อหุ้นคืน และการที่ราคาหุ้น Berkshire แสดงผลงานต่ำกว่าตลาด ท่ามกลางช่วงเปลี่ยนผ่านของทีมผู้บริหาร”
ทั้งไซเฟิร์ตและแซนเดอร์สต่างให้คำแนะนำ “ถือ” สำหรับหุ้น Berkshire
ในการบันทึกด้อยค่าหลังหักภาษีมูลค่า 3.76 พันล้านดอลลาร์ สำหรับหุ้น 27.4% ใน Kraft Heinz เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทอาหารรายนี้ประกาศว่า จะพิจารณาทางเลือกเชิงกลยุทธ์ ซึ่งอาจรวมถึงการแยกบริษัทออกเป็นหลายส่วน
ทั้งนี้ Berkshire เคยบันทึกมูลค่าหุ้นคราฟท์ ไฮนซ์ไว้สูงกว่าราคาตลาด แต่ระบุว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและปัจจัยอื่น ๆ รวมถึงแผนที่จะถือหุ้นต่อในระยะยาว ทำให้ต้องจัดการกับส่วนต่างดังกล่าวในฐานะ “การด้อยค่าที่ไม่ใช่แค่ชั่วคราว”
การด้อยค่าครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่สองของ Berkshire ในการลงทุนในคราฟท์ ไฮนซ์ โดยก่อนหน้านี้เคยบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่ามูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2019
บัฟเฟตต์ยอมรับในขณะนั้นว่า Berkshire “จ่ายแพงเกินไป” ในการควบรวมกิจการระหว่าง Kraft Foods และ H.J. Heinz ในปี 2015 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความผิดพลาดด้านการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของเขา
ทั้งนี้ คราฟท์ ไฮนซ์ ได้รับผลกระทบเมื่อผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นหันไปเลือกสินค้าที่มีสุขภาพดีขึ้นและแบรนด์ของห้าง โดยในปัจจุบัน บริษัท Kraft Heinz มีแบรนด์ในครอบครองประมาณ 200 แบรนด์ เช่น Oscar Mayer, Kool-Aid, Velveeta และ Jell-O
สำหรับราคาหุ้นของ Berkshire ได้ลดลงมากกว่า 12% และให้ “ผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนี S&P 500” ถึงราว 22 จุดเปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่บัฟเฟตต์ประกาศเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมว่า เขาจะลงจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารภายในสิ้นปีนี้
เกร็ก อาเบล รองประธานวัย 63 ปี จะขึ้นมารับตำแหน่งแทน แม้บัฟเฟตต์จะยังคงดำรงตำแหน่งประธานบริษัทต่อไป
อ้างอิง: reuters