True นำเทคโนโลยี 5G DSS มาใช้บนคลื่น 2600 MHz จัดสรร 4G/5G ด้วยระบบอัจฉริยะ
True Corporation ประกาศการอัปเกรดโครงข่ายครั้งสำคัญภายใต้แผน "Network Modernization" ด้วยการนำเทคโนโลยี Dynamic Spectrum Sharing (DSS) เข้ามาใช้งานบนคลื่นความถี่ 2600 MHz ซึ่งเป็นคลื่นหลักสำหรับบริการ 5G เพื่อแก้ปัญหาคอขวดในการจัดสรรแบนด์วิดท์ระหว่างผู้ใช้ 4G และ 5G โดยเริ่มนำร่องแล้วในย่านทองหล่อ ก่อนขยายผลทั่วประเทศ
การอัปเกรดครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับประสบการณ์ใช้งานดาต้าของผู้ใช้บริการในเครือทั้งทรูมูฟ เอช และดีแทค โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ 5G ที่มีจำนวนกว่า 14.2 ล้านเลขหมาย (ข้อมูล ณ ไตรมาส 1/2568) ให้ได้รับความเร็วและประสิทธิภาพสูงสุด
ปัญหาของเครือข่ายทุกวันนี้
โดยธรรมชาติแล้ว คลื่น 2600 MHz เป็นคลื่นความถี่กลาง (Mid-band) ที่มีแบนด์วิดท์กว้างและเหมาะกับการให้บริการ 5G เป็นอย่างยิ่ง แต่ความท้าทายที่ผู้ให้บริการทุกรายต้องเผชิญคือ จะทำอย่างไรให้สามารถบริการผู้ใช้ 4G ซึ่งยังมีจำนวนมาก และผู้ใช้ 5G บนคลื่นความถี่เดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีการดั้งเดิมคือ การแบ่งคลื่นแบบคงที่ (Static Allocation) กล่าวคือ แบ่งเค้กคลื่น 2600 MHz ออกเป็น 2 ส่วนอย่างถาวร ส่วนหนึ่งสำหรับ 4G และอีกส่วนสำหรับ 5G ซึ่งวิธีนี้มีข้อจำกัดใหญ่คือ "ความไม่ยืดหยุ่น" ในช่วงเวลาที่ผู้ใช้ 5G หนาแน่น แบนด์วิดท์ที่ถูกกันไว้สำหรับ 4G ก็จะถูกปล่อยว่างโดยเปล่าประโยชน์ ในทางกลับกัน หากมีผู้ใช้ 4G มากขึ้น ก็จะไม่สามารถดึงทรัพยากรจากฝั่ง 5G มาใช้ได้ ทำให้การใช้งานคลื่นไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร
5G DSS คืออะไร? ทำงานอย่างไร?
เทคโนโลยี Dynamic Spectrum Sharing (DSS) คือเทคโนโลยีที่เป็นหัวใจของการแก้ปัญหานี้ แปลตรงตัวคือ "การแบ่งปันคลื่นความถี่แบบไดนามิก" ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้สัญญาณ 4G (LTE) และ 5G (NR) สามารถอยู่ร่วมกันและใช้คลื่นความถี่ "ชุดเดียวกัน" ได้ในเวลาเดียวกัน
หลักการทำงานแบบเข้าใจง่าย
ลองจินตนาการว่าคลื่นความถี่ 2600 MHz คือถนนซูเปอร์ไฮเวย์ขนาดใหญ่ 1 เลน
วิธีเดิม (Static): คือการตีเส้นแบ่งเลนถาวร ให้รถยนต์ธรรมดา (4G) วิ่งครึ่งเลน และให้รถไฟความเร็วสูง (5G) วิ่งอีกครึ่งเลน ไม่ว่ารถประเภทไหนจะเยอะหรือน้อย ก็ใช้ได้แค่ครึ่งเลนของตัวเอง
วิธีใหม่ (DSS): คือการเปลี่ยนเลนนี้ให้เป็น "เลนอัจฉริยะ" ที่ไม่มีเส้นแบ่งตายตัว แต่มีระบบจัดการจราจรที่คอยตรวจจับอยู่ตลอดเวลา (ในระดับมิลลิวินาที) ว่ารถที่กำลังจะวิ่งเข้ามาเป็นรถประเภทไหน
ถ้ามี รถไฟความเร็วสูง (5G) วิ่งเข้ามา ระบบจะเปิดทางให้ใช้ทั้งเลนได้เต็มความกว้างเพื่อทำความเร็วสูงสุด
ถ้ามี รถยนต์ธรรมดา (4G) วิ่งเข้ามา ระบบก็จะจัดสรรพื้นผิวจราจรให้เหมาะสม
ถ้ามีรถทั้งสองประเภทวิ่งเข้ามาพร้อมกัน ระบบจะจัดสรรช่องทางให้แบบเรียลไทม์ เพื่อให้รถทุกคันวิ่งต่อไปได้โดยใช้พื้นที่ถนนได้คุ้มค่าที่สุด
ผลลัพธ์คือ คลื่นความถี่ผืนเดียวกันสามารถรองรับผู้ใช้ทั้ง 4G และ 5G ได้อย่างยืดหยุ่น ทำให้ไม่เกิดการสูญเสียแบนด์วิดท์ไปโดยเปล่าประโยชน์ และผู้ใช้ 5G จะได้รับประสบการณ์ความเร็วเต็มสปีดบนแบนด์วิดท์ทั้งหมดของคลื่น 2600 MHz เมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย
นอกจากนี้True Corporation ได้นำเทคโนโลยี DSS มาแก้ปัญหาดังกล่าว ทำให้ระบบสามารถปรับสัดส่วนการใช้งานคลื่น 2600 MHz ให้กับผู้ใช้ 4G และ 5G ได้โดยอัตโนมัติตามความต้องการใช้งานจริงในแต่ละพื้นที่และช่วงเวลา
นอกจากนี้ การที่ทรูเพิ่งได้คลื่น 2300 MHz เข้ามาเสริมทัพ ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการวางแผนโครงข่าย โดยสามารถนำคลื่น 2300 MHz มาเน้นให้บริการ 4G โดยเฉพาะ ควบคู่ไปกับการใช้ DSS บนคลื่น 2600 MHz ซึ่งจะช่วยลดภาระของคลื่น 2600 MHz และทำให้การจัดสรรทรัพยากรมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นไปอีก
ด้วยการอัปเกรดครั้งนี้หมายความว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ใช้ 4G หรือ 5G ในเครือข่ายของทรูและดีแทค คุณจะได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น เครือข่ายจะสามารถตอบสนองต่อปริมาณการใช้งานที่หนาแน่นได้ดีกว่าเดิม ลดปัญหาความเร็วตกเมื่อมีผู้ใช้เยอะ และสำหรับผู้ใช้ 5G นี่คือการปลดล็อกศักยภาพด้วยคลื่น 2600 MHz ให้สามารถทำความเร็วได้สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
โดยการนำร่องที่ย่านทองหล่อซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการใช้งานดาต้าหนาแน่นและหลากหลาย ถือเป็นการทดสอบเทคโนโลยีในสถานการณ์จริง ก่อนที่จะขยายผลไปยังพื้นที่สำคัญทั่วประเทศต่อไป