6:3ฟัน ‘พิเชษฐ์’ พ้นเก้าอี้
ศาลรัฐธรรมนูญลงมติ 6:3 ฟัน “พิเชษฐ์” ตกเก้าอี้รองประธานสภาฯ และ สส. พร้อมถอนสิทธิสมัคร 10 ปี ผันงบลงพื้นที่ฐานเสียงตัวเองเอื้อเลือกตั้งครั้งหน้า “วิสุทธิ์” เผยเคยเตือนแล้ว นัด 7 ส.ค. สภาเคาะรองประธานคนใหม่ รีบปัดไม่กระทบกรณี ครม.ผันงบแจกหมื่น
เมื่อวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2568 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยที่นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) และ สส.รวม 121 คน (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม กรณีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง (ผู้ถูกร้อง) เป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการและให้มีการเสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 3 โครงการ ที่ผู้ถูกร้องมีส่วนโดยทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีคำขอเสนอโครงการทั้ง 3 โครงการดังกล่าวอีกครั้งในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 เป็นการเสนอของบประมาณด้วยโครงการที่มีรูปแบบเดียวกันและต่อเนื่องกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ที่ผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอการแปรญัตติ หรือการกระทำใดๆ ที่มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง
โดยคำวินิจฉัยระบุว่า จากการสอบพยานบุคคลและข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎร 2 สถานะคือ สถานะเป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 และสถานะ สส. โดยการใช้อำนาจของผู้ถูกร้องในการดำริให้เสนอคำขอจากสำนักงบประมาณ หรือคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณในโครงการทั้ง 3 เป็นการใช้อำนาจของรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ซึ่งบุคคลที่ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ ต้องมีสถานะพื้นฐานมาจากความเป็น สส. การปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจของรองประธานสภาฯ ต้องไม่ขัดต่อสถานะพื้นฐาน ความเป็น สส.ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ซึ่งรวมถึงบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า วันที่มีคำของบประมาณหรือแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ของผู้ถูกร้องเกี่ยวกับโครงการทั้ง 3 ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่ง สส.และรองประธานสภาฯ คนที่ 1 รวมทั้งที่ปรึกษาและกรรมการในคณะกรรมการบริหารโครงการทั้ง 3 แสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องมีเจตนาเพื่อนำงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินไปใช้ประโยชน์ในการหาเสียงหรือสร้างความนิยมให้แก่ผู้ถูกร้องในเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง อันเป็นการกระทำที่เป็นลักษณะการใช้สถานะรองประธานสภาฯ เพื่อประโยชน์ของตนเองในการหาเสียงหรือสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้งของตน เมื่อผู้ถูกร้องขอตั้งงบประมาณในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569 เพื่อจะทำโครงการทั้ง 3 ต่อเนื่องจากปีงบประมาณ 2568 แสดงให้เห็นเจตนาของผู้ถูกร้องว่าต้องการใช้งบประมาณเช่นเดียวกับการใช้งบประมาณในปีงบประมาณ 2568 ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการหาเสียงหรือสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง อันจะทำให้ผู้ถูกร้อง บุคคลอื่นหรือพรรคการเมืองที่ผู้ถูกร้องสังกัดได้รับประโยชน์ในการเลือกตั้ง สส.ในครั้งต่อไป ถือได้ว่าผู้ถูกร้องทำการเสนอและแปรญัตติโครงการทั้ง 3 ที่มีผลให้ผู้ถูกร้องมีส่วนไม่ว่าโดยตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 มิใช่เป็นเพียงการดำเนินการราชการประจำปกติในกิจการของรัฐสภา ไม่เข้าข้อยกเว้นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 185 (2) ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ว่าผู้ถูกร้องเป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง สั่งให้ผู้ถูกร้องสิ้นสุดสมาชิกภาพ สส. นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยคือวันที่ 1 ส.ค.2568 และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง
คำวินิจฉัยระบุว่า เมื่อสมาชิกภาพของ สส.ผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง ทำให้มีตำแหน่งของ สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งว่างลง ทำให้ต้องมีการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 45 วันนับแต่วันที่ตำแหน่ง สส.ว่างลง ส่วนการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้องเป็นเวลาเท่าใด เห็นว่าเมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569 อยู่ระหว่างการพิจารณา ยังมิได้มีผลบังคับใช้ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อการใช้งบประมาณของแผ่นดิน จึงให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้องมีกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
นายภัณฑิลกล่าวในเรื่องนี้ว่า ถือเป็นบรรทัดฐานให้ สส.หรือสมาชิกต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เราเป็นฝ่ายตรวจสอบ เราจะตำหนิติเตียนตรวจสอบคนอื่นและเป็นเสียเองคงไม่ได้ เราเป็นเสาหลักใน 3 อำนาจ
ด้านนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับนายพิเชษฐ์ที่ต้องถูกตัดสิทธิ์ดังกล่าว อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาเคยเตือนนายพิเชษฐ์แล้ว ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมา ถือเป็นบทเรียนที่ สส.ทุกคนต้องพิจารณาให้รอบคอบ ก่อนจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการมีส่วนได้ประโยชน์จากการใช้งบประมาณแผ่นดิน
เมื่อถามว่า กรณีที่นายพิเชษฐ์อาจโยงเข้ากับความผิดของ ครม.ที่ถูกยื่นให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบกรณีโยกงบประมาณทำดิจิทัลวอลเล็ต นายวิสุทธิ์กล่าวว่า เป็นคนละประเด็น เพราะ ครม.มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินการฐานะเป็นฝ่ายบริหารและพิจารณาถึงการใช้งบโดยทั่วไป ไม่ได้เจาะจงเฉพาะพื้นที่เหมือนกรณีนายพิเชษฐ์
นายวิสุทธิ์ยังกล่าวว่า ได้รับการประสานจากนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ให้รีบดำเนินการประสานกันในพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อหาบุคคลที่เหมาะสม จะให้ที่ประชุมสภาเลือกรองประธานสภาฯ คนที่ 1 แทนนายพิเชษฐ์ ซึ่งจากการปรึกษาหารือกันแล้วจะบรรจุระเบียบวาระเลือกรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ โดยตำแหน่งนี้เป็นโควตาของพรรค พท. ซึ่งต้องให้ที่ประชุม สส.พรรคในวันที่ 5 ส.ค.ปรึกษาหารือกันก่อน และในวันดังกล่าวน่าจะได้บุคคลที่เหมาะสม.