PRIME ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ 2 ชุด หลัง BECIS ยกเลิกซื้อหุ้น ESCO
นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 7/2568 เมื่อวันที่ 11 ก.ค.2568 ได้มีมติอนุมัติให้ บริษัท ไพร์ม โรด กรุ๊ป จำกัด (PRG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัทจำหน่ายหุ้นสามัญทั้งหมดที่ถืออยู่ในบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท ไพร์ม เอสโค่ จำกัด (ESCO) ในมูลค่า 290.95 ล้านบาท ให้แก่ BECIS Thailand Holding Pte Ltd (BECIS) ซึ่งไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัท
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับแจ้งจาก BECIS เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2568 ว่ามีความประสงค์ยกเลิกการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าว ซึ่งเดิมบริษัทคาดว่าจะนำเงินที่ได้รับจากธุรกรรมการจำหน่ายหุ้นบริษัทย่อยดังกล่าว เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ของ บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2569 โดยเลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน ครั้งที่ 1 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน
ภายหลังจากการยกเลิกธุรกรรม บริษัทจะดำเนินการทบทวนแนวทางในการจำหน่ายหุ้นสามัญทั้งหมดที่ถืออยู่ในบริษัทย่อยดังกล่าว เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามแผนการจำหน่ายสินทรัพย์และเงินทุนของบริษัท และจะดำเนินการเปิดเผยข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับความคืบหน้าต่อไป
ทั้งนี้ ตามที่บริษัทได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้จำนวน 4 รุ่น ได้แก่
1. หุ้นกู้ของบริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2566 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2569 โดยเลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน ครั้งที่ 1 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน (หุ้นกู้ PRIME253B)
2. หุ้นกู้ของบริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2565 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2569 โดยเลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน ครั้งที่ 1 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน (หุ้นกู้ PRIME253A)
3. หุ้นกู้ของบริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2565 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2569 โดยเลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน ครั้งที่ 1 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน (หุ้นกู้ PRIME25DA)
4. หุ้นกู้ของบริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2566 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2569 โดยเลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน ครั้งที่ 1 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน (หุ้นกู้ PRIME25DB)
โดยหุ้นกู้ PRIME253B และ PRIME253A ครบกำหนดการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นบางส่วน ในวันที่ 31 ก.ค.2568 จำนวน 332,526,110.84 บาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเกิดความคลาดเคลื่อนของแผนการขายทรัพย์สินและเงินลงทุนของบริษัท ประกอบกับข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถชำระดอกเบี้ยและเงินต้นบางส่วนของหุ้นกู้ PRIME253B และ PRIME253A จึงถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อ 11.1 (ก) ของข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นกู้ (ข้อกำหนดสิทธิ) ของหุ้นกู้รุ่น PRIME253B และ PRIME253A
อย่างไรก็ตาม การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ PRIME253B และ PRIME253A ข้างต้น ยังไม่มีผลให้บริษัทต้องชำระหนี้ของหุ้นกู้ PRIME25DA และ PRIME25DB ทั้งหมดในทันที เนื่องจากจะต้องมีการดำเนินการโดยผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เพื่อเรียกให้หนี้หุ้นกู้ถึงกำหนดชำระ ตามที่กำหนดในข้อ 11.3 ของข้อกำหนดสิทธิของหุ้นกู้ทั้ง 2 รุ่นต่อไป
แนวทางการแก้ไขปัญหาการผิดนัดชำระหนี้
บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนการชำระหุ้นกู้ทั้ง 4 รุ่น เพื่อนำเสนอทางเลือกที่สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและสถานะทางการเงิน รวมทั้งกระแสเงินสดของบริษัท โดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย โดยบริษัทจะเรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ทั้ง 4 รุ่น ต่อไป
ทั้งนี้ บริษัทยังคงดำเนินการตามแผนการขายทรัพย์สินและเงินลงลงทุนบางส่วนของบริษัทเพื่อนำมาชำระหนี้บางส่วนและเสริมสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท หากมีความคืบหน้าทางบริษัทจะรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
บริษัทจะได้รับหนังสือแจ้งเหตุผิดนัดการชำระ หากบริษัทไม่ดำเนินการตามหนังสือแจ้งผิดนัดตามที่ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้บอกกล่าว ได้ครบถ้วนตามระยะเวลาที่กำหนด ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้จะดำเนินการฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายกับริษัทต่อไป
บริษัทตระหนักถึงการผิดนัดชำระหนี้ดอกเบี้ยและเงินต้นบางส่วนในครั้งนี้ จะส่งผลให้ผู้ถือหุ้นกู้เกิดความกังวล บริษัทยังคงให้ความเชื่อมั่นว่า บริษัทมีเจตนาจะชำระหนี้หุ้นกู้ โดยบริษัทจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป
บริษัทจึงขอเรียนชี้แจงและรายงานเกี่ยวกับการผิดนัดชำระดอกเบี้ยและเงินต้นบางส่วนของหุ้นกู้ PRIME253B และ PRIME253A ดังนี้
ตลท. ขึ้นเครื่องหมาย CB หุ้น PRIME
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขึ้นเครื่องหมาย CB หลักทรัพย์ PRIME เนื่องจากบริษัท/บริษัทย่อย/กองทุนผิดนัดชำระหนี้ตามเกณฑ์ที่กำหนด มีผลวันที่ 1 ส.ค.2568 โดยหลักทรัพย์ที่ถูกขึ้นเครื่องหมายข้างต้น จะต้องซื้อด้วยบัญชี Cash Balance (คือ สมาชิกต้องดำเนินการให้ลูกค้า วางเงินสดไว้ล่วงหน้ากับสมาชิกเต็มจำนวนก่อนซื้อหลักทรัพย์นั้น) ตั้งแต่วันที่ขึ้นเครื่องหมายเป็นต้นไป จนกว่าจะแก้เหตุดังกล่าวได้