ส่องประวัติ ควิช่า ควารัตส์เคเลีย หนึ่งในปีกซ้ายที่เก่งที่สุดในเวลานี้
หากจะมองหาผู้เล่นที่เป็นปีกธรรมชาติแท้ๆ สักคนในวงการฟุตบอลสมัยนี้ ต้องบอกว่าเริ่มจะหาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนกับในช่วงทศวรรษที่ 90 ที่ในยุคนั้นแผนการเล่นที่นิยมยังเป็น 4-4-2 ทำให้นักเตะตัวริมเส้นยังคงมีบทบาทเด่น และผู้เล่นในตำแหน่งปีก เป็นสิ่งที่ทุกทีมต้องการในเวลานั้น
แต่ในยุคสมัยนี้ นักฟุตบอลต้องทำได้มากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทักษะ, การจบสกอร์ รวมไปถึงเรื่องสภาพความฟิต ที่ต้องวิ่งขึ้นลงได้ไม่มีหมดตลอด 90 นาที หรือบางทีอาจต้องทำได้ถึงระดับ 120 นาที ในกรณีที่ต้องเจอเกมที่ต้องต่อเวลา รวมถึงแผนการเล่นเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นที่เป็น Winger โดยธรรมชาติค่อยๆ หายไป กลายเป็นสไตล์กองหน้ากึ่งปีกแทน ด้วยระบบการเล่นที่นิยมไม่ว่าจะเป็น 4-3-3 หรือ 4-2-3-1
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะหาได้ยาก แต่ถ้าทีมใดก็ตามที่มีผู้เล่นที่เป็นปีกขนานแท้ ย่อมได้เปรียบเสมอเวลาที่เล่นเกมโจมตีแนวรับคู่แข่งในสไตล์ตัวต่อตัว หรือแม้แต่การเล่นเกมโต้กลับเร็ว และถ้าเรามองหาผู้เล่นในสไตล์นี้ในยุคปัจจุบัน ชื่อของ ควิช่า ควารัตส์เคเลีย ย่อมถูกยกขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ในชั่วโมงนี้
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักปีกทีมชาติจอร์เจียรายนี้กันว่ามีเส้นทางอาชีพอย่างไร จนก้าวขึ้นมาเป็นปีกระดับโลกกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง
ควิช่า ควารัตส์เคเลีย เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ปี 2001 ปัจจุบันอายุ 24 ปี เป็นลูกชายของ บาดรี้ ควารัตส์เคเลีย ซึ่งในอดีตเคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพเช่นเดียวกันในยุค 90 แต่แน่นอนว่าคุณพ่อไม่ได้โด่งดังเท่ากับลูกชาย แม้จะเล่นให้หลายทีมแต่สโมสรที่โด่งดังที่สุดที่คุณพ่อเคยค้าแข้งด้วยก็คือ ดินาโม ทบิลิซี่ ทีมดังของจอร์เจียเท่านั้น
ควิช่า มีพี่น้อง 3 คน โดยน้องชายคนเล็ก ทอร์นิเก้ ก็เป็นนักฟุตบอลเช่นกัน โดยในส่วนของ ควิช่า นั้น เขาเริ่มเข้าสู่ทีมอะคาเดมี่ของ ดินาโม ทบิลิซี่ ตั้งแต่อายุ 11 ปี ก่อนจะก้าวขึ้นสู่ชุดใหญ่ได้ตอนที่มีอายุ 16 ปีเท่านั้น และได้ลงสนามเกมแรกให้กับ ดินาโม ทบิลิซี่ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2017 ในเกมที่เสมอกับ เอฟซี โคลเคตี้ 1-1 โดยถูกส่งลงไปเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 62 ซึ่งในฤดูกาล 2017 ควิช่า ได้ลงเล่นให้ ทบิลิซี่ ไปทั้งสิ้นเพียง 5 เกมในทุกรายการ ทำไป 1 ประตูด้วยกัน ซึ่งประตูแรกในฐานะนักเตะอาชีพ เกิดขึ้นในเกมที่บุกไปเฉือนชนะ ชูคูร่า โคบูเลติ 1-0 ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ในปีดังกล่าว
ในเดือนมีนาคม 2018 ควิช่า ย้ายออกจาก ดินาโม ทบิลิซี่ เนื่องจากมีข้อพิพาทเรื่องสัญญา ก่อนจะได้ย้ายไปอยู่กับ เอฟซี รุสตาวี่ แบบไม่มีค่าตัวแทน แต่อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ 1 เดือนให้หลังก็มีรายงานว่า ควิช่า ในวัย 17 ปี ได้รับความสนใจจากยักษ์ใหญ่ของยุโรปอย่าง บาเยิร์น มิวนิค และเจ้าตัวยังได้เข้าไปดูเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศที่ บาเยิร์น เสมอกับ เซบีย่า 0-0 อีกด้วย แต่กระนั้น ควิช่า ก็ยังคงอยู่กับ รุสตาวี่ และไม่ได้ย้ายไปไหน เขาลงเล่นในฤดูกาลปี 2018 ไปทั้งสิ้น 18 นัด ทำไป 3 ประตูกับ 3 แอสซิสต์ด้วยกัน ก่อนที่ เดอะ การ์เดี้ยน สื่อดังของอังกฤษจะใส่ชื่อของ ควิช่า เป็นหนึ่งใน 60 นักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามองมากที่สุดในปี 2018
ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2019 ควิช่า ย้ายไปเล่นใน รัสเซียน พรีเมียร์ลีก กับ โลโคโมทีฟ มอสโก แบบยืมตัวเป็นเวลา 5 เดือน แม้ว่าผลงานที่ออกมาจะไม่ได้โดดเด่นมากนัก โดยได้ลงเล่นไป 10 นัดรวมทุกรายการ ทำไป 1 ประตู และเมื่อหมดสัญญายืมตัว ควิช่า ก็กลับไปอยู่กับ รุสตาวี่ ตามเดิม แต่โค้ชของ โลโคโมทีฟ ในเวลานั้นอย่าง ยูริ เซมิน ได้ออกมาเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า เขารู้สึกเสียดายอย่างมากที่ทีมไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับ รุสตาวี่ ในการดึงตัว ควิช่า มาร่วมทีมเป็นการถาวรได้ เนื่องจากเขามองว่า ควิช่า เป็นนักเตะที่มากพรสวรรค์จริงๆ
นั่นทำให้ในเดือน กรกฎาคม 2019 รูบิน คาซาน อีกหนึ่งสโมสรดังในรัสเซีย กลายเป็นทีมที่คว้าตัว ควิช่า ไปร่วมทีมได้แทน หลังยอมจ่ายเงินค่าตัวเพียง 6 แสนยูโร และเซ็นสัญญายาว 5 ปี และเกมแรกที่ ควิช่า ลงเล่นให้ รูบิน คาซาน กลับเป็นการเจอกับทีมเก่าอย่าง โลโคโมทีฟ มอสโก ซะอย่างนั้น โดยเขาถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรองในครึ่งหลัง และเป็นคนยิงประตูสำคัญช่วยให้ รูบิน คาซาน เสมอกับ โลโคโมทีฟ ไป 1-1
ผลงานของ ควิช่า ในวัยเพียง 19 ปีกับ รูบิน คาซาน ในฤดูกาลแรกนั้นถือว่าค่อนข้างน่าพอใจ หลังทำไป 3 ประตูกับ 5 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 27 เกมรวมทุกรายการ ทำให้บรรดาสื่อหลายสำนักต่างพากันชื่นชมว่านี่คือการซื้อแห่งฤดูกาลของ รูบิน คาซาน อย่างไม่ต้องสงสัย และมูลค่าของ ควิช่า นั้นเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าหลังจากผ่านไปแค่ปีเดียว นอกจากนี้เขายังได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของ รัสเซียน พรีเมียร์ลีก ถึง 4 ครั้งในฤดูกาล 2019-20 และยังได้รับการยกย่องจาก เลกิ๊ป สื่อดังจากฝรั่งเศสให้เป็น 1 ใน 50 นักเตะที่ดีที่สุดที่เกิดในศตวรรษที่ 21 ซึ่ง ควิช่า ยังเป็นนักเตะเพียงรายเดียวที่เล่นในอยู่ใน รัสเซียน พรีเมียร์ลีก ที่ถูกเลือกมาอีกด้วย
ควิช่า เล่นให้กับ รูบิน คาซาน มาถึงฤดูกาลที่ 3 จนกระทั่งในวันที่ 7 มีนาคม 2022 จากเหตุการณ์ที่รัสเซียทำสงครามกับยูเครน ทำให้ ฟีฟ่า ได้ออกมาประกาศว่า บรรดานักเตะต่างชาติที่เล่นอยู่ในลีกรัสเซีย จะสามารถระงับสัญญาชั่วคราวได้ทันทีและสามารถเซ็นสัญญากับทีมอื่นๆ นอกรัสเซียได้ ก่อนวันที่ 30 มิถุนายน นั่นทำให้ ควิช่า ตัดสินใจย้ายกลับไปอยู่กับ ดิมาโม บาตูมี่ ทีมในลีกบ้านเกิด ในวันที่ 24 มีนาคม และลงเล่นในช่วงที่เหลือของฤดูกาล 2022 ของลีกจอร์เจียไป 11 นัด ทำไป 8 ประตูกับ 3 แอสซิสต์ ทำให้ได้รับเลือกให้คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของลีกในช่วงครึ่งซีซั่นหลังทันที
ด้วยฝีเท้าอันยอดเยี่ยม และได้รับการจับตามองในฐานะหนึ่งในผู้เล่นดาวรุ่งที่ดีที่สุดมาตลอด ทำให้ในช่วงหน้าร้อนปี 2022 นาโปลี ก็จัดการคว้าตัว ควิช่า ไปร่วมทีมทันที ด้วยค่าตัว 13.3 ล้านยูโร ก่อนจะได้ลงเล่นเกมแรกใน เซเรีย อา ให้กับ นาโปลี ในวันที่ 15 สิงหาคม พบกับ เวโรน่า และ ควิช่า ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อจัดการยิง 1 จ่าย 1 ช่วยให้ นาโปลี เอาชนะไปอย่างขาดลอย 5-2
หลังจากนั้น ควิช่า ก็ยังแรงไม่หยุด เขายิงอีก 2 ประตูในเกมถัดมาที่ถล่ม มอนซ่า 4-0 ทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ของ นาโปลี ที่ยิง 3 ประตูจาก 2 นัดแรกใน เซเรีย อา และทำให้เขาคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยม เซเรีย อา ประจำเดือนสิงหาคมไปครองได้อีกด้วย
ฤดูกาลแรกของเขากับ นาโปลี ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ เมื่อ ควิช่า ทำไป 14 ประตูกับ 17 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 43 เกมรวมทุกรายการ พาทีมคว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ และเป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของ นาโปลี ครั้งแรกในรอบ 33 ปี หลังครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในฤดูกาล 1989-90 ในยุคที่มี ดีเอโก้ มาราโดน่า เป็นจอมทัพ
จากผลงานดังกล่าวยังทำให้ ควิช่า คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของ เซเรีย อา ไปครองได้อีกด้วย รวมถึงรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ประจำฤดูกาล 2022-23 ด้วยเช่นกัน ซึ่ง ควิช่า พา นาโปลี ไปได้ไกลถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย และมีผลงานทำ 2 ประตูกับ 4 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 9 นัดในรายการนี้
อย่างไรก็ตาม ผ่านไปเพียง 2 ฤดูกาลครึ่ง ควิช่า ก็ประกาศว่าจะย้ายออกจาก นาโปลี ในวันที่ 16 มกราคม 2025 โดยเป็นการโพสต์คลิปวีดิโอลงโซเชี่ยลมีเดียของตนเอง ซึ่งนั่นทำให้บรรดาแฟนบอลของ นาโปลี โกรธเป็นอย่างมาก เนื่องจากในเวลานั้น นาโปลี กำลังนำเป็นจ่าฝูงของ เซเรีย อา และกำลังมีลุ้นที่จะคว้าแชมป์ลีกครั้งที่ 2 ในรอบ 3 ปีหลังสุด
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมาหยุดยั้งการย้ายทีมครั้งนี้ได้ สุดท้ายแล้ว ควิช่า ย้ายไปอยู่กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง ในอีก 1 วันให้หลัง ด้วยค่าตัวสูงถึง 70 ล้านยูโร โดยมีโบนัสเพิ่มเติมอีก 10 ล้านยูโรในอนาคต กลายเป็นนักเตะจอร์เจียที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ทันที
ซึ่งการตัดสินใจย้ายมาเล่นให้ เปแอสเช ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างมาก เพราะแม้จะย้ายมาในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2024-25 แต่ ควิช่า ก็กลายเป็นตัวจริงให้กับทีมได้ในทันที เขาลงเล่นไป 25 เกมรวมทุกรายการ ทำไป 7 ประตูกับ 6 แอสซิสต์ ช่วยให้ เปแอสเช ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ คว้าแชมป์ได้ครบทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็น ลีก เอิง, เฟร้นช์ คัพ และแชมป์ที่รอคอยมายาวนานอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ในรอบชิงชนะเลิศจัดการถล่ม อินเตอร์ มิลาน ไปอย่างขาดลอย 5-0 ซึ่งในเกมรอบชิงชนะเลิศ ควิช่า ทำได้ 1 ประตูด้วย
นั่นทำให้ ควิช่า กลายเป็นนักเตะคนแรกของจอร์เจียที่ทำประตูได้ในเกมรอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก และเป็นนักเตะจอร์เจียคนที่สองที่ได้ครองแชมป์รายการนี้ ต่อจาก คาห์ค่า คาลัดเซ่ ที่เคยทำได้ 2 สมัยกับ เอซี มิลาน ในช่วงต้นยุค 2000
ในส่วนของการเล่นให้กับทีมชาตินั้น ควิช่า เล่นให้กับ จอร์เจีย มาแทบทุกชุดในระดับเยาวชน ตั้งแต่ยู 17 จนถึงยู 21 ก่อนจะได้โอกาสติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 2019 ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น และจนถึงตอนนี้ ควิช่า ก็ติดธงมาแล้วทั้งสิ้น 41 นัด ทำไป 18 ประตู ขณะที่ในศึก ยูโร 2024 ที่ผ่านมา ควิช่า ยังพา จอร์เจีย ไปถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้อีกด้วย แต่ก็ต้องพ่ายให้กับแชมป์ในปีนั้นอย่าง สเปน ไปอย่างขาดลอย 4-1 แต่นั่นก็ถือเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมแล้ว กับการเล่นให้ชาติเล็กๆ อย่าง จอร์เจีย
จากผลงานทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ ควิช่า เป็นปีกที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดคนหนึ่งในวงการฟุตบอลยุคปัจจุบัน เขามีทั้งความเร็วที่ยากไล่ตามได้ทัน, ทักษะในการไปกับบอลที่คล่องแคล่ว, การเอาชนะแบบดวลต่อตัวที่ยากจะสกัดกั้น, การจบสกอร์ที่เฉียบคม และมีร่างกายที่ทรงพลัง แข็งแรงมากๆ ยากต่อการที่จะแท็คเกิ้ล
ด้วยวัยเพียง 24 ปี แต่กลับคว้าแชมป์รายการสำคัญได้เกือบครบแล้ว ต้องมารอลุ้นกันว่าอนาคตของเขาต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร และ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง จะเป็นสโมสรสุดท้ายของเจ้าตัวหรือไม่ หรือจะมีโอกาสได้ย้ายไปเล่นให้กับทีมที่มีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ในอนาคต…
ข่าวที่เกี่ยวข้อง