“อุ๊งอิ๊ง”ก่อวิกฤต ทุกเรื่อง ไปไม่รอด!?
เมืองไทย 360 องศา
เรียกว่าเป็นวันมหาวินาศสำหรับครอบครัว “ชินวัตร” จริงๆ แต่ขณะเดียวกันก็ยังลากเอาบ้านเมืองให้เกิดวิกฤตในทุกๆ ด้านได้อีกด้วย แน่นอนว่าหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเป็นเอกฉันท์รับคำร้องวินิจฉัยในคดีที่ 36 ส.ว.ให้พิจารณาว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ฝ่าฝืนจริยธรรม และสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยคดีออกมา
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ประชุมคณะตุลาการธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ 9 เสียง รับคำร้องไว้วินิจฉัยในคดีที่ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภา 36 คน ขอให้พิจารณา วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบ มาตรา 82 ว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทำการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ ฮุนเซน เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
โดยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกบคำร้องแล้ว เห็นว่ากรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 ( 8 ) จึงรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย และให้นางสาวแพทองธาร ผู้ถูกร้องยื่นคำร้องชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง
ส่วนคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ น.ส.แพทองธาร ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง ศาลพิจารณาคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า มีกรณีตามที่ถูกร้อง จึงมีมติ 7 ต่อ 2 ให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.68 จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย
ทั้งนี้ ตุลาการเสียงข้างน้อยจำนวน 2 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม เห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้อง ยังไม่ยุติชัดเจนให้ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า นางสาวแพทองธาร ผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง แต่เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง ให้ใช้มาตรการ หรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 71 ห้ามมิให้ นางสาวแพทองธาร ผู้ถูกร้องใช้หน้าที่และอำนาจด้านความมั่นคงด้านการต่างประเทศและด้านการคลัง จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
สำหรับคำร้องของ สว.นั้น ได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยใน 2 ข้อ คือ 1. ให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5)
2. ให้มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย เนื่องจากปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่า "ผู้ถูกร้อง มีความสัมพันธ์ส่วนตัวและแอบเจรจากับประธานวุฒิสภากัมพูชาในลักษณะเป็นภัยภัยต่อความมั่นคงอาณาเขตไทย และอำนาจอธิปไตยของไทย อันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง และยากแก่การเยียวมาในภายหลัง ดังนั้นเพื่อป้องกันความรุนแรงอันใกล้ที่จะถึง ประกอบกับคำร้องของผู้ร้องมีเหตุอันมีน้ำหนักที่ศาลจะวินิจฉัยให้เป็นไปตามคำร้อง" จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ กำหนดมาตรการ หรือ วิธีการเป็นการชั่วคราว โดยสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
นั่นเป็นมติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าได้ก่อวิกฤตให้กับบ้านเมืองพอสมควร แต่เป็นวิกฤตที่ก่อขึ้นมาเอง โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เพราะจากกรณี “เทปลับ” การสนทนาระหว่างเธอกับ นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ได้ทำให้ประเทศ มีความเสี่ยงทางด้าน “ความมั่นคง” ไปทันที เพราะมีเจตนาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของประเทศให้กับฝ่ายตรงข้ามได้ทุกเรื่อง ตามคำพูดที่บอกว่า “พร้อมจัดการให้”
ขณะเดียวกันด้วยความที่ถูกมองว่า “ด้อยความสามารถ” ด้อยความรู้ ได้ทำลายโอกาสของประเทศไปมากมาย และก่อให้เกิดปัญหาแทบทุกด้าน ภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของเธอนานเกือบปี เพราะไม่ว่าทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง ทุกอย่างตกต่ำลงหมด เวลานี้ชาวบ้านกำลังใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก มีปัญหาเรื่อง “ปากท้อง” แผ่ขยายไปทุกหย่อมหญ้า
นี่ยังไม่นับเรื่องที่เป็นปัญหาจากข้างนอก คือ จากต่างประเทศที่เราควบคุมได้ยาก และที่ต้องเจอหนักหน่วงแน่นอนในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็คือ “ภาษีนำเข้า” ของสหรัฐอเมริกา ที่นาทีนี้ยังไม่รู้ว่าจะถูกกำหนดเอาไว้ที่กี่เปอร์เซ็นต์จากเดิมที่คิดจะจัดเก็บกับไทยในอัตรา 36 เปอร์เซ็นต์ จะเป็น 20 หรือ 30 หรือ 35 หรือว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะกำหนดกับแต่ละประเทศ หลังเส้นตายวันที่ 8 กรกฎาคม นี้ ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายไทยยังแทบไม่ได้เจรจากับสหรัฐอย่างเป็นทางการเหมือนกับอีกหลายประเทศ
กรณีภาษีการค้ากับสหรัฐถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่จะสร้างปัญหาให้กับเศรษฐกิจของไทยมากมาย เพราะจากการคาดการณ์ของหลายหน่วยงานตรงกันว่า จะส่งผลให้การขยายตัวของไทยในปีนี้จะอยู่ในอัตราที่ต่ำมากราวร้อยละ 1.5 เท่านั้น จากเดิมที่เลวร้ายกันอยู่แล้ว จะเห็นว่าภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้ทำให้เกิดภาวะถดถอยในทุกเรื่อง เพราะนอกเหนือจากเรื่องภาษี การส่งออกแล้ว แม้กระทั่งการท่องเที่ยวที่เป็นหนึ่งในรายได้หลักช่วยขับเคลื่อนประเทศมานาน ก็ยังเจอภาวะถดถอยหนัก
เมื่อวกกลับมาที่ภาวะ หลังการหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งดูเหมือนว่ามีการคาดเดากันล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเจอแบบนี้ ทำให้ในการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เธอได้นั่งควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อที่จะยังปฏิบัติหน้าที่ในรัฐบาลต่อไปได้ เหมือนกับกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ แต่ยังปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต่อไปได้
แต่กรณีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นาทีนี้ถือว่ามีความแตกต่างกัน เพราะความเชื่อมั่น ศรัทธา และความไว้วางใจที่มีนั้น แทบจะไม่มีหลงเหลืออีกแล้ว พิสูจน์จากผลสำรวจที่เพิ่งออกมาเหลือแค่ร้อยละ 9 เท่านั้น และอยู่ในอันดับ 5 แทบจะรั้งท้ายสุด แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าเธอจะก่อวิกฤตให้กับบ้านเมืองมากมายแค่ไหนก็ตาม และมีเสียงเรียกร้องให้ลาออกดังแค่ไหนเธอก็ยังทำหูทวนลม เหมือนไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้น
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะยังขัดขืนแค่ไหน แต่เชื่อว่าในที่สุดแล้ว ก็คงไปไม่รอดแน่นอน เพราะเมื่อพิจารณาจากมติเอกฉันท์ ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่รับคำร้อง หากมองตามรูปการณ์แล้วถือว่า “หนักแน่น” ประกอบกับความรู้สึกของชาวบ้านทั่วประเทศ และท่าทีที่ผ่านมาย่อมเป็นที่ประจักษ์แจ้งแล้วว่าเธอมีปัญหา “ด้านจริยธรรม” จริงๆ และมองเห็นถึงคำวินิจฉัยล่วงหน้าไม่ยากว่าจะออกมาแบบไหน !!
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO