“ทรีนีตี้” ชี้ 2 ปัจจัยใหญ่กำหนดทิศทางการลงทุนเดือนก.ค.
“ทรีนีตี้” ประเมินหุ้นเดือนก.ค. จะผันแปรไปตามพัฒนาการของ2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การเจรจา ภาษีการค้าของสหรัฐฯ และปัจจัยการเมืองในประเทศ ให้กรอบดัชนีไตรมาส3ที่1050-1180จุดอิงสมมติฐานสำคัญว่าพ.ร.บ.งบประมาณไม่ถูกเลื่อน ดังนั้นเมื่อเทียบเคียงกับระดับดัชนีปัจจุบัน จึงเริ่มเห็น Upside ที่เป็นต่อ Downside มากขึ้น ในเชิงกลยุทธ์แนะถือครองหุ้นในกลุ่ม Domestic defensive ต่อไป ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร ADVANC, โรงพยาบาล BDMS, ค้าปลีกจำเป็น CPALL, และโรงไฟฟ้า GULFและหาจังหวะเพิ่มน้ำหนักในช่วงที่ดัชนีมีการย่อตัวลง
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนกรกฎาคมว่า สำหรับภาพตลาดหุ้นไทยในเดือนกรกฎาคม ประเมินว่าจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการของ 2 ปัจจัยหลักๆ ได้แก่ 1) ทิศทางของสงครามการค้า เนื่องจากในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ จะครบกำหนด 90 วันที่สหรัฐฯมีการระงับการเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) แล้ว ซึ่งถ้าหากเส้นตายนี้ถูกเลื่อนออกไป มองว่า Sentiment การทั่วโลกน่าจะยังคงถูกประคับประคองต่อไปได้ และ 2) ทิศทางของปัจจัยการเมืองในประเทศ ซึ่งมีหลายประเด็นที่รออยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ความคืบหน้าของการฟ้องยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีฯ , การเดินหน้าพิจารณาของสภาฯต่อพ.ร.บ. Entertainment Complex, ความคืบหน้าคดีฮั้วสว. คดีของคุณทักษิณชั้น 14 และ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา เป็นต้น
ประเมินกรอบการแกว่งตัวของ SET Index ไตรมาส 3 จะอยู่ที่ 1050-1180 จุด ในกรณีอนุรักษ์นิยม แต่หากสถานการณ์การเมืองในประเทศเลวร้ายมากขึ้นจนนำมาสู่ความเสี่ยงที่การพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 จะถูกเลื่อนออกไปจาก Timeline เดิม ประเมินว่าแนวรับดัชนี SET จะถูกกดต่ำลงไปอยู่บริเวณแถว 1000 จุดได้ ในเชิงกลยุทธ์ แนะถือครองหุ้นในกลุ่ม Domestic defensive ต่อไป ซึ่งได้แก่ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC), โรงพยาบาล (BDMS), ค้าปลีกจำเป็น (CPALL) และโรงไฟฟ้า (GULF) เป็นต้น ส่วนกลุ่มพวก Global play เช่น Oil & Gas, Petrochemical และกลุ่มส่งออกอย่างเช่น Electronics, Food มองว่าจะผันแปรไปตามทิศทางการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศต่างๆในเดือนนี้
สำหรับปัจจัยการเมืองในช่วงต้นเดือนที่หลายคนกังวล ได้แก่กรณีศาลรัฐธรรมนูญจะมีการประชุมเพื่อพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องถอดถอน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ และถ้ารับ จะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่โดยทันทีหรือไม่นั้น
นายณัฐชาต กล่าวว่า ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าใดนักโดยไม่ว่าจะมองมุมไหน ยังไม่มีสถานการณ์ไหนที่น่าจะนำไปสู่ Deadlock ทางการเมืองในระยะสั้น เนื่องจากหากในวันนี้ศาลฯมีการรับคำร้องและสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวจริง ก็คาดว่าจะเป็นทางฝั่งรองนายกฯที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งรักษาการแทนได้ สามารถทำงานบริหารแทนได้ต่อไป ส่วนประเด็นการจัดตั้งครม.ล่าสุด ก็มีคำสั่งโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเรียบร้อยแล้วด้วยเช่นกัน ซึ่งก็น่าจะช่วยลดทอนความกังวลใจด้านเสถียรภาพทางการเมืองไปได้บ้าง หรือหากในกรณีเลวร้าย มองไปยังปลายทางหากนายกฯแพทองธารถูกวินิจฉัยว่ามีความผิดจริง ก็เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยได้เตรียมแคนดิเดตคนถัดไปอย่างคุณชัยเกษม นิติสิริ เพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกนายกฯในสภาใหม่เรียบร้อยแล้ว
ในเชิงกลยุทธ์ หากในระยะสั้น ดัชนี SET Index ปรับตัวลงมาจากความกังวลต่อปัจจัยการเมืองดังกล่าว มองเป็นโอกาสในการ “Buy on Weakness” ที่น่านใจอีกครั้ง ที่สำคัญ ระดับ SET Index ปัจจุบันที่ต่ำกว่า 1100 จุดลงมานั้น เริ่มหมายถึงระดับ Upside ที่เป็นต่อ Downside แล้ว อิงกรอบแนวต้านดัชนีกรณีอนุรักษ์นิยมของทรีนีตี้ประจำไตรมาส 3 ที่ระดับ 1180 จุด และกรอบแนวรับดัชนีในกรณีที่พ.ร.บ.งบประมาณไม่ถูกเลื่อนออกไปจาก Timeline เดิมที่ระดับ 1050 จุด