กมธ.ท่องเที่ยวกีฬา สว. ซัดรัฐบาล “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” สะดุด
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 15 กรกฎาคม 2568 เวลา 23.42 น. • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทรัฐสภา 15 ก.ค.-กมธ.ท่องเที่ยวกีฬา วุฒิสภา ซัดรัฐบาล “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” สะดุด เหตุไม่ใช้ “เป๋าตังค์” ของเก่าดีอยู่แล้วไปจ้างใหม่ทำไม ผู้ประกอบการโอดพิษโครงการเบิกเงินยาก ไม่กล้าร่วม แถมผวาภาษี เตรียมเรียก “สรวงศ์” แจง กมธ.
นายพิศูจน์ รัตนวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและการกีฬา วุฒิสภา เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาหาแนวทางแก้ปัญหาโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ที่ยังคงเป็นปัญหาคาราคาซังมานานเกือบ 2 สัปดาห์ โดยเฉพาะการตั้งคำถามถึงรัฐบาลว่า เหตุใดจึงไม่นำแอปพลิเคชัน “เป๋าตังค์” ที่เคยประสบความสำเร็จจากโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” กลับมาใช้ ทั้งที่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้หมดแล้ว แต่กลับไปจ้างบริษัทใหม่มาดำเนินการจนเกิดความติดขัดอย่างหนัก
ด้านนายจำลอง อนันตสุข โฆษกคณะกรรมาธิการ กล่าวว่า “แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตังค์’ ที่เคยใช้ในโครงการ ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ ก็ได้รับการแก้ไขจนปัญหาต่างๆ หมดแล้ว ทำไมไม่เอามาใช้ ทำไมไม่ต้องไปจ้างบริษัทใหม่มาทำโครงการ ‘เที่ยวคนละครึ่ง’ เราก็ต้องตั้งเป็นคำถามรัฐบาลว่ามันเพราะอะไร แล้วเวลานี้มันก็ยังใช้ไม่ได้ ใช้ได้ก็กระท่อนกระแท่น ผ่านมาแล้วประมาณเกือบ 2 อาทิตย์ ทำไมเรื่องนี้มันยังไม่จบ ยังแก้ไขไม่ได้
นายจำลอง กล่าวว่าปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการโรงแรมทั่วประเทศ โดยพบข้อมูลว่า ตั้งแต่โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ยังเบิกเงินไม่ได้ ของเก่ายังไม่ได้เลย โครงการใหม่ก็เลยไม่มีใครอยากลง นอกจากนี้ ยังมีเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการบางรายที่ไม่กล้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเลย เพราะนอกจากจะกลัวเบิกเงินไม่ได้แล้ว ยังกังวลเรื่องภาษีอีกด้วย
นอกจากนี้คณะกรรมาธิการฯ ยังตั้งข้อสังเกตว่า โครงการนี้ไม่ได้สอดรับกับนโยบายของรัฐที่ควรจะดีกว่านี้ เนื่องจากเป็นการดำเนินการโดยรัฐบาล แต่การกรอกข้อมูลและแบบฟอร์มต่างๆ ก็ทำได้ยาก ที่สำคัญคือ ก่อนหน้านี้โครงการไม่มีการโฆษณา แจ้งเตือน หรือประชาสัมพันธ์ใดๆ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างการลงทะเบียนของผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยว
ทั้งนี้คณะกรรมาธิการเตรียมเชิญนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเข้ามาเร่งชี้แจงโดยด่วน เนื่องจากปัญหานี้เกิดขึ้นมานานกว่า 2-3 สัปดาห์แล้ว และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศ.-319.-สำนักข่าวไทย