โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

คำสารภาพ( A CONFESSION) “..หลุมบ่อแห่งความทุกข์...อันเกิดจากความไม่แน่ใจในรูปรอยชีวิต”

สยามรัฐ

อัพเดต 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“..แม้ว่าในโลกแห่งชีวิต..ของมนุษย์เราในแต่ละคน..จะมีความเชื่อมั่นและหลงใหลใน "อัตตาแห่งตน" อยู่มากมายสักเพียงใด..

เเต่ในท้ายที่สุดแล้ว ..ความเป็นเนื้อในอันจริงแท้ของชีวิต ก็จะทำให้เขาหรือเธอผู้นั้น…ต้องจนตรอกอยู่กับชะตากรรมที่วกวนซ้อนซับของตัวเองอย่างติดตรึง จนยากที่จะสลัดพ้น..

“หลุมบ่อแห่งความทุกข์”..อันเกิดจากความไม่แน่ใจในรูปรอยของชีวิต..มีแต่ถ่างออกและขยายพื้นที่ชีวิตให้กว้างขึ้นอย่างทบทวี..กระทั่งกลายเป็นความเจ็บปวดอย่างสาหัส..ต่อดวงใจที่ “เปราะบาง..และอ่อนระโหย” ความเป็นจริงที่แท้จริงแห่งชีวิตมักเป็นเช่นนี้..มันหาใช่ความสุขสมนิรันดร์..แต่มันคือความทุกข์เศร้าอันล้ำลึก..

..เนื่องเพราะ..ในระหว่างทางของการก้าวย่าง..ในท่วงท่าที่มุ่งเน้นสู่จุดหมายปลายทางของความหวังนั้น..! “จิตวิญญาณสามัญ” ของแต่ละบุคคล ก็ย่อมถูกบ่อนแซะและคุกคามจากสารพันปัญหา..! กระทั่งเกิดอาการซวดเซ..และ ลื่นล้มลงไปอย่างสิ้นท่าซ้ำๆกัน ..บนลานประลองของบาปเคราะห์..ในหลายต่อหลายครั้ง..!

..นิยามความหมายอันเป็นเหมือนบทสรุปข้างต้น..ปรากฏอยู่ในสายธารแห่งนวนิยายอันเลอค่าต่อการประจักษ์แจ้งของ “ลีโอ ตอลสตอย”(Leo Tolstoy) นักประพันธ์ชื่อก้องโลกชาวรัสเซีย..

“คำสารภาพ” (A CONFESION).. งานเขียนที่ได้ระบุถึงส่วนลึกของจิตใจ ที่ทั้ง อ่อนล้า สิ้นหวัง และถดถอยท้อแท้อย่างถึงที่สุดของความเป็นชีวิต..ชีวิตหนึ่ง..อันสืบเนื่องมาจากภาวะรู้สึก ที่แปลกแยกกับคนรอบข้าง..รวมทั้งสถานะแห่งโลกกว้างอันเต็มไปด้วยสีสันในภาวะของความมืดมน..โดยเฉพาะ..ความเบื่อหน่ายชิงชังต่อสังคมคนชั้นสูงที่เต็มไปด้วยความฟุ่มเฟือย มัวเมาอย่างล้นเหลือ..กระทั่งความเห่อเหิมคลั่งไคล้ในลาภยศ สรรเสริญ..

ทั้งหมดเป็นบริบทแห่งสถานะชีวิต..ที่ตัวตนของ “ตอลสตอย”..ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุ ที่ได้ทำให้เขาต้องเดียดฉันท์ต่อนิยามของชีวิต..จนถึงขนาดก่อเกิดเป็นการคิดที่จะ"ฆ่าตัวตาย"ในหลายๆครั้ง..!

..แต่เรื่องด้วย..เหตุผลแห่งคุณค่าทางการศึกษาที่ติดตัวอยู่..ไม่ว่าจะเป็นจากคุณค่าของการค้นคว้า..ในวิชาปรัชญาและศาสนาต่างๆ.. ทั้งหมดทั้งมวลได้ทำให้ “ตอลสตอย” บังเกิดจิตสำนึก..ที่ปรารถนาจะค้นหาคำตอบแห่งปริศนาของโลกอันไขว้สลับที่ว่า…ชีวิตมีความหมายอย่างไร?..และ สัจจะความจริงมีอยู่ในคำสอนทางศาสนาหรือไม่?*

“..คำถามคำถามหนึ่ง ที่โน้มนำไปสู่สภาวะที่ปรารถนาจะฆ่าตัวตาย..ตอนที่ผมอายุได้สิบห้าปีนั้น..ถือเป็นคำถามที่แสนจะธรรมดา ที่แฝงอยู่ในจิตวิญญาณ..และหากถ้าไม่มีคำถามดังกล่าวนี้.. “ชีวิตก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”..ดุจดั่งที่ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์..ซึ่งคำถามสำคัญนี้ก็คือ .. “อะไรจะเกิดขึ้นตามมา…จากสิ่งที่ผมได้กระทำทั้งในวันนี้ และ..วันพรุ่งนี้..อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตทั้งชีวิต..ของผม!”

ว่ากันว่า … “ตอลสตอย”…คือผู้ที่ขบคิดและคอยตั้งคำถามเพื่อถามไถ่กับตนเองเสมอ ..ความไม่แน่ใจในหลายส่วน ทำให้มุมมองของคำถามไหลเวียนเปลี่ยนไปตามกาละโอกาส..แห่งสำนึกคิด..มันเป็นนัยเชิงความหมายที่ต้องค่อยๆ..ตีความอย่างใคร่ครวญและพินิจพิเคราะห์ ซึ่งคำตอบต่างๆนั้นก็ผุดพรายขึ้นมาในหลากหลายแนวทาง..!

“..หรือจะถามอีกอย่างหนึ่งก็ได้ดั่งนี้ ..ผมมีชีวิตอยู่ไปทำไม..?..ผมทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร?..หรือจะถามอีกอย่างหนึ่งว่า… “ชีวิตของผม มีความหมายอะไรหรือเปล่า?”…ความหมาย ชนิดที่จะไม่โดนความตายที่ย่างกรายเข้ามา..ทำลายจนถึงกับย่อยยับ..สิ้นสูญ”

..ปริศนาแห่งคำถาม..ถึงความหมายเช่นที่ว่านี้ ..เป็นสิ่งที่ต้องได้คำตอบจากการค้นคว้าในรายละเอียด ..ที่แฝงฝังอย่างล้ำลึกอยู่ในชีวิต มันเกี่ยวพันกับองค์ความรู้ที่ประกอบสร้างขึ้นมา เป็นนิยามอันแรงร้อนของมนุษย์..ผ่านความเป็นวิชาความรู้..ในมิติแปลกต่างนานา ..!.

“ตอลสตอย” ได้ค้นหาคำตอบจากปริศนาคำถามนี้..ด้วยการศึกษาวิชาความรู้ที่มนุษย์มีอยู่..โดยเขาได้ค้นพบว่า ..เมื่อได้มีโอกาสพิจารณาความเกี่ยวพันของวิชาความรู้ต่างๆกับคำถามอันเป็นข้อสงสัยนั้นๆ..ก็จะสามารถแจกแจงวิชาความรู้ในทุกสาขาให้ออกมาเป็นสองฟากที่อยู่ตรงข้ามกัน..โดยมีฟากหนึ่งเป็นหากบวก และมีอีกฟากหนึ่งเป็นหากลบ..

แต่ทั้งสองฟากนั้นล้วนแล้วแต่ไม่มีคำตอบให้แก่ชีวิต..ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่า..ความรู้ในสาขาหนึ่งดูเหมือนจะไม่ยอมรับว่ามีคำถามนี้..แต่ถึงกระนั้นมันก็ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน และแน่นอนต่อคำถามที่ถูกตั้งขึ้น..ก็ มันคือพรมแดนแห่งความรู้ในเชิงทดลอง..และที่ปลายสุดขั้วหนึ่ง ได้แก่วิชาคณิตศาสตร์..

ส่วนพรมแดนแห่งความรู้ในอีกพรมแดนหนึ่ง..ได้ยอมรับว่ามีคำถามนี้..แต่ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว..มันคือวิถีแห่งวิชาปรัชญา..การคิดในเชิงวินิจฉัย..ซึ่งมีวิชาอภิปรัชญาอยู่ปลายสุดอีกขั้วหนึ่ง..!!

“ผมได้ศึกษาวิชาปรัชญา การคิดในเชิงวินิจฉัย..ตั้งแต่เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยหนุ่ม.. แต่ผมว่า..ในเวลาต่อมา..ผมได้สนใจศึกษาในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ..ผมพอใจในคำตอบผิดๆที่วิชาเหล่านี้มอบให้แก่ผม…จวบจนกระทั่งผมได้ตั้งคำถามอันชัดเจนกับตัวเอง..อีกทั้งตัวคำถามเองก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆภายในตัวของผม..ทำให้ต้องแสวงหาคำตอบอันเร่งร้อนด้วย..!”

…ภายในพรมแดนแห่งความรู้ในการทดลองนั้น ผมบอกกับตัวเองว่า..ทุกสิ่งทุกอย่างมีการพัฒนา มีความผิดแผกแตกต่างกันไป..มุ่งสู่ความละเอียดสลับซับซ้อน และยังมีกฎเกณฑ์ต่างๆควบคุมการเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าของมัน…

“เจ้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของทั้งหมด..เมื่อเจ้ารู้เกี่ยวกับส่วนทั้งหมด..ตลอดจนกฎเกณฑ์แห่งการพัฒนาของมันได้มากพอ เจ้าก็จะเข้าถึงตำแหน่งแห่งที่ของเจ้า ว่าอยู่ตรงส่วนไหน ..รวมทั้งเข้าใจตัวของเจ้าเองด้วย..”

*ประเด็นอันเคลือบแคลง ต่อการแสวงหาคำตอบเพื่อความเข้าใจในชีวิตผ่านความคลุมเครือ ไปสู่ความชัดเจนในการปฏิบัตินั้น จักต้องอาศัยความรู้สึกของชีวิตที่ตระหนักถึงการเจริญเติบโตทางปัญญา..ตลอดจนการเติบโตภายในร่างกายที่สลับซับซ้อนมากขึ้น โดยสื่อผ่านความเชื่อที่ว่า…

“มีกฎอันหนึ่งที่ควบคุมความเป็นไปของโลก”

กระทั่งค้นหาคำตอบต่อคำถามเกี่ยวกับชีวิตได้..แต่ครั้นเมื่อถึงห้วงเวลาแห่งชีวิตที่รู้สึกว่า..ตัวเองไม่ได้พัฒนาอีกต่อไป.. “ตอลสตอย” ก็ได้สารภาพออกมาในทำนองว่า..ชีวิตกำลังจะเหือดแห้ง..หนังเนื้อกำลังจะหย่อนยาน และ..ฟันฟางกำลังจะหลุดไปเรื่อยๆ..*

“ผมได้เริ่มประจักษ์ว่า..สิ่งที่ล้วนเกิดขึ้นเป็นกฎแห่งชีวิตเหล่านี้..ไม่เพียงแต่ไม่สามารถอธิบายให้ใครไปเข้าใจได้ แม้แต่ตัวผมเอง..และ ผมยังรู้อีกว่า ไม่เคยมีกฎนี้ และไม่มีวันที่จะมีกฎนี้เด็ดขาด..”

นี่คือ ..การค้นพบกฏอย่างหนึ่งที่ “ตอลสตอย” ได้ระบุว่า..เขาค้นพบภายในตัวเองในห้วงเวลาหนึ่งของชีวิต และ เขาได้พิจารณาคำนิยามของมันอย่างเข้มงวดขึ้น..จนได้ประจักษ์อย่างชัดแจ้งว่า..กฎแห่งการพัฒนาอย่างถาวรนั้นหาได้มีอยู่ไม่..!

“ผมได้ตระหนักว่า..การพูดว่าในกาลและในอวกาศอันหาที่สุดมิได้นั้น ..ทุกสิ่งทุกอย่างจะพัฒนาขึ้น กลายเป็นสิ่งสมบูรณ์สลับซับซ้อน และ ผิดแผกแตกต่างกันยิ่งขึ้น…จริงๆแล้ว..ก็คือการไม่ได้พูดอะไรเลย..มันเป็นคำพูดที่ปราศจากความหมาย เนื่องจากในอนันตกาลและในอวกาศนั้นไม่มีสิ่งที่เป็นธรรมดา ..ไม่มีสิ่งที่สลับซับซ้อน ไม่มีก่อน ไม่มีหลัง ไม่มีเลวกว่า หรือ ดีกว่าทั้งสิ้น../”

มีการสรุปว่า..ความยิ่งใหญ่เฉพาะตัวของ “ตอลสตอย” นั้น ได้แก่การเป็น “มนุษยนิยม”..เหตุนี้ ..ความเป็นมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่เขาแสวงหา และต่อสู้เพื่อให้ได้มา..ตลอดชีวิต..เขาไม่อาจที่จะบันทึกว่า ..ในช่วงมีชีวิตอยู่ที่สุขสมบูรณ์พร้อม ด้วยครอบครัวที่น่ารัก มีภรรยา มีลูก มีที่ดินมากมายที่ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ..เป็นคนมีชื่อเสียง แต่เขากลับเริ่มหวาดกลัวชีวิต เพราะเขาตระหนักว่า ..ตัวเองทำอะไรที่โง่เง่ามากมาย..ยิ่งมีความรู้ก็ยิ่งเห็นความไร้สาระมากขึ้น..

กระทั่งในที่สุด ก็กลัวว่าจะฆ่าตัวตายไปเสียก่อน..!

“..ผมไม่สงสัยแล้วว่า..ในคำสอนทางศาสนามีสัจจะ ความจริง.. แต่ผมก็ไม่สงสัยอีกเหมือนกันว่า..ในคำสอนนั้นก็มีความเท็จแฝงอยู่ด้วย..ผมจักต้องค้นหาสิ่งที่ถูก สิ่งที่ผิด แล้วแยกแยะ..มันออกต่างหากจากกัน .."

*ผลลัพธ์อันเป็นที่สุดของนวนิยายเรื่องนี้..เปรียบดั่งคำประกาศที่ผสานกันระหว่างจิตวิญญาณของความจริง สวนสวรรค์ของการใคร่ครวญ และกระบวนการต่อสู้ทางความคิดที่ดำเนินมาตั้งแต่ต้น และได้จบลงในประเด็นอันสำคัญ ที่คอยเน้นย้ำกับมโนสำนึกแห่งการมีชีวิตอย่างมีความหมายอยู่ซ้ำๆ..

“ในคำสอนนั้น …มีความเท็จแฝงอยู่..!”

“ตอลสตอย” เริ่มเขียน “คำสารภาพ” เมื่อปี ค.ศ.1879 เมื่อมีอายุได้ 51 ปี..และได้ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1893..เมื่อมีอายุได้ 65 ปี..ทั้งหมดประกอบด้วยความเรียง 16 บท..เป็นการเล่าเหตุการณ์ในประสบการณ์ชีวิตทางศาสนาตั้งแต่ยังเด็ก จนล่วงเข้าสู่วัยชรา..!..มันจึงคือเงื่อนปมของชีวิต..ที่คอยติดตรึงอยู่กับใจเช่นนั้น ..และเป็นอยู่อย่างทายท้าวิถีแห่งสัจจะอย่างบ้าคลั่ง..รุนแรงเช่นนั้น..เฉกเช่นกัน”

นวนิยายแห่ง “จักรวรรดินิยม” เล่มนี้..ได้รับการถ่ายทอดสาระเนื้อหาออกมาสู่ภาษาไทย..โดยนักแปลฝีมือเยี่ยมผู้ล่วงลับ"สมบูรณ์ ศุภศิลป์"…ที่ทั้งคว้านลึกในรายละเอียดของโลก เข้าไปสู่การรับรู้แห่งปฏิกิริยาภายในทีปะทุหลั่งล้นวิถีแห่งปัญญาญาณออกมาสู่ภายนอก..เป็นโครงสร้างแห่งการรับรู้ในรู้สึก..ที่แสดงถึงแก่นรากแห่งตัวตนด้วยตัวตน ..โดยแท้ ..!

“..ผมรู้ตัวเองว่า ..กำลังแกว่งไปแกว่งมา..ผมแกว่งอยู่ท่ามกลางหุบเขา โดยมีเครื่องช่วยพยุงตัวไว้นิดเดียว..โดยยังไม่หล่นลงไป..ผมมองไกลออกไปในความไม่มีที่สิ้นสุด..นึกถึงความรู้สึกหวาดกลัวหรือหายกลัวได้..เพราะมองขึ้นไปข้างบน..และถ้าใครนอนลงโดยให้ส่วนกลางของร่างกายอยู่บนเชือก..แล้วมองขึ้นไปข้างบน..ก็ไม่มีทางที่จะตกลงไปแน่..เมื่อเข้าใจแล้ว จะรู้สึกยินดี จิตใจสงบ คล้ายกับใครคนหนึ่งกำลังพูดกับผมว่า..

“เห็นไหม..คุณทำได้” .แล้วผมก็ตื่นขึ้น..พอดี ..!

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก สยามรัฐ

เปิดจุดผ่านแดนจันทบุรี 2 แห่ง ขนส่งสินค้าและสิทธิมนุษยชนผ่านได้

14 นาทีที่แล้ว

ล้าน% “ทุ่นระเบิด” วางใหม่ ระทึก!! เก็บกู้ได้เพิ่มอีก 3 ลูก

22 นาทีที่แล้ว

หอการค้าน่านหนุนเยาวชนประกวดแผนธุรกิจ ต่อยอดสู่ผู้ประกอบการในอนาคต

23 นาทีที่แล้ว

คุมเข้มบัญชีวัด! “สำนักงานพระพุทธศาสนา” สั่งวัดทั่วประเทศจัดทำรายรับ-รายจ่าย ยึดตามมติ”มหาเถรสมาคม”

30 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

วิดีโอ

กทม. ลงโทษเทศกิจ ตัดต่อภาพ มารายงานผล ทราฟฟี่ฟองดูว์ เร่งพัฒนาระบบกรองภาพปลอม

BRIGHTTV.CO.TH

“ฮังการี” อ่วมสุดในยุโรป เจอทั้งฝนหนัก คลื่นร้อนรุนแรง นักวิทย์ฯ ชี้นี่คือสัญญาณเตือนจากโลกร้อน

TNN ช่อง16

ไมโครซอฟท์เลิกใช้วิศวกรในจีนทำงานให้กองทัพสหรัฐ

สำนักข่าวไทย Online

“สุดารัตน์” เอาใจช่วย ทีมไทยแลนด์ เจรจาภาษีสหรัฐ

สำนักข่าวไทย Online

สกัดจับแก๊งพ่อค้า ตระเวนรับซื้อหมูโกงตาชั่ง

สำนักข่าวไทย Online

ล้าน% “ทุ่นระเบิด” วางใหม่ ระทึก!! เก็บกู้ได้เพิ่มอีก 3 ลูก

สยามรัฐ

ทำไมคนกัมพูชาในโซเชียลเรียกคนไทยว่า “เสียม”? เปิดที่มา และ ความหมาย

TNN ช่อง16

อวดสาวพลาด! หนุ่มอาหรับเบิ้ลเครื่องก่อนพุ่งชนร้านยากระจกแตกยับ

มุมข่าว

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...