ศึกชายแดนไทย-กัมพูชา ไทย-เมียนมา ลากยาว ฉุดค้า 5.7 แสนล้านกู่ไม่กลับ
ล่าสุดคำสั่งปิดด่านอย่างกะทันหันของเมียนมาซึ่งลุกลามไปทั่วแนวชายแดนกว่า 2,400 กิโลเมตร ส่งผลให้มูลค่าการค้ารวมกว่า 5.7 แสนล้านบาทของไทยกับทั้งสองประเทศ(ข้อมูลปี 2567) ส่อหดตัวรุนแรง การส่งออกหยุดชะงัก ลามกระทบห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวเนื่อง
การปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชาทุกจุด ตั้งแต่ 23 มิถุนายน 2568 สร้างแรงสั่นสะเทือนโดยตรงต่อการค้าชายแดนที่เคยมีมูลค่าเฉลี่ย 27,000 ล้านบาทต่อเดือน จากปี 2567 การส่งออกของไทยไปกัมพูชามีมูลค่ากว่า 324,136 ล้านบาท ซึ่งการปิดด่าน 100% จะทำให้ 6 เดือนหลังของปี 2568 ไทยจะสูญเสียมูลค่าการส่งออกทางบกไปกัมพูชากว่า 120,000 ล้านบาททันที แม้จะยังมีการขนส่งทางเรืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอทดแทนช่องทางหลักทางบกที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจชายแดน
ข้อมูลศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุการปิดด่านถาวรทั้ง 5 จุดหลัก กับกัมพูชา ได้แก่ อรัญประเทศ คลองใหญ่ ช่องจอม จันทบุรี และช่องสะงำ ส่งผลกระทบการส่งออก 11,659 ล้านบาทต่อเดือน หรือกว่า 141,847 ล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะด่านอรัญประเทศที่มีสัดส่วนใหญ่สุด สร้างความเสียหายมากกว่า 7,000 ล้านบาทต่อเดือน ผลกระทบนี้หากยืดเยื้อทั้งปีอาจฉุดจีดีพีไทยลดลงราว 0.31%
อีกด้านหนึ่ง หากพิจารณาผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน กรณีไทยส่งออกสินค้าไปยังกัมพูชาไม่ได้ใน 3 หมวดใหญ่ ได้แก่ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม จะกระทบมูลค่าส่งออก 32,740 ล้านบาท ยานพาหนะและชิ้นส่วนมูลค่าส่งออก 18,570 ล้านบาท และเคมีภัณฑ์กับปุ๋ยมูลค่าส่งออก 15,309 ล้านบาท ล้วนได้รับผลกระทบโดยตรง
ขณะเดียวกันกรณีการนำเข้าสินค้าจากกัมพูชาไม่ได้ใน 3 หมวดใหญ่ ทั้งมันสำปะหลัง โลหะ และเศษโลหะมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาทสะดุดลงทันที การหยุดชะงักนี้ส่งผลต่อทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และธุรกิจในท้องถิ่นตลอดแนวชายแดน 7 จังหวัด
ในอีกด้าน การค้าชายแดนไทย–เมียนมา ก็กำลังเผชิญวิกฤตไม่แพ้กัน เมื่อเมียนมาสั่งปิดด่านพรมแดนแม่สอด-เมียวดีอย่างกะทันหันตั้งแต่ 14 สิงหาคม 2568 ก่อนลุกลามปิดด่านเกือบตลอดแนวชายแดน 8 จังหวัด ตั้งแต่เชียงรายถึงระนอง เหตุผลเพื่อจัดระเบียบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย และเพื่อแก้ไขปัญหารายได้ภาษีที่รั่วไหล และการเพิ่มทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ
ผลกระทบเกิดขึ้นทันที รถบรรทุกสินค้าหลายร้อยคันติดค้างหน้าด่าน สินค้าส่งออกไทยไปย่างกุ้งไม่สามารถขนส่งต่อได้ ขณะที่ผู้ประกอบการเมียนมาก็ไม่สามารถนำสินค้าเข้ามาฝั่งไทยได้เช่นกัน การค้าชายแดนที่มีสัดส่วนกว่า 80% ของมูลค่าการค้าไทย–เมียนมาทั้งหมดต้องหยุดชะงัก โดยในปี 2567 การค้าไทย–เมียนมามีมูลค่ารวม 253,517 ล้านบาท โดยเป็นการค้าชายแดนกว่า 208,937 ล้านบาท แต่ปี 2568 ช่วงครึ่งแรกมีมูลค่าเพียง 130,012 ล้านบาท ลดลงต่อเนื่อง
ปัญหานี้ซ้อนทับบนฐานเศรษฐกิจเมียนมาที่อ่อนแออยู่แล้วจากผลพวงรัฐประหารปี 2564 การถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหรัฐและชาติตะวันตก ค่าเงินจ๊าตตกต่ำ ทุนสำรองต่างประเทศร่อยหรอ รัฐบาลจึงออกนโยบาย “Earning Money” บังคับให้ผู้นำเข้าต้องแสดงหลักฐานรายได้ต่างประเทศเท่ามูลค่าที่ต้องการนำเข้า เป็นมาตรการเข้มเพื่อรักษาทุนสำรองเงินตรา แม้จะช่วยเพิ่มการจัดเก็บภาษี แต่กลับซ้ำเติมการค้าและทำให้ความไม่แน่นอนทวีความรุนแรง
สำหรับไทย ผลกระทบชัดเจนต่อผู้ประกอบการในจังหวัดชายแดน 8 จังหวัดที่พึ่งพาการค้ากับเมียนมาโดยตรง มูลค่าการค้า 2.5 แสนล้านบาทระหว่างไทย-เมียนมาในปี 2567 เวลานี้กำลังหยุดชะงัก ขณะเดียวกัน นักลงทุนไทยที่มีมูลค่าลงทุนสะสมกว่า 11,695 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเมียนมา ก็ต้องเผชิญความเสี่ยงจากนโยบายรัฐที่เปลี่ยนแปลงบ่อยและสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน
โดยสรุปการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา และไทย–เมียนมา กำลังเผชิญวิกฤตซ้อนซ้ำทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง มูลค่าความเสียหายที่ประเมินจะมีมูลค่าหลายแสนล้านบาท สะท้อนถึงความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจชายแดน หากปล่อยให้ยืดเยื้อ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอาจไม่กลับมาเหมือนเดิม ดังนั้นผู้นำของทั้ง 3 ประเทศ จะต้องเร่งฟื้นฟูบรรยากาศความไว้เนื้อเชื่อใจกัน และกำหนดกฎระเบียบที่เอื้อต่อการค้า การลงทุนระหว่างกันให้กลับคืนมา โดยยึดผลประโยชน์ของประชาชนและภาคธุรกิจเป็นที่ตั้ง
ทั้งนี้หากยังขาดทิศทางแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม ความเป็นศูนย์กลางการค้าอาเซียนของไทยอาจถูกท้าทายอย่างหนักในทศวรรษหน้า