‘พชร นริพทะพันธุ์’ ย้ำภารกิจ กสทช. ป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์
นายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการ ก.ล.ต. และ ที่ปรึกษาประจำประธาน กสทช. กล่าวถึงการกำกับดูแลระบบโทรคมนาคมในช่วงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์เป็นเรื่องที่ กสทช.ให้ความสำคัญและตื่นตัวมากอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเห็นตัวอย่างจากทั่วโลกว่าการโจมตีทางไซเบอร์นั้นง่ายและถูกกว่าวิธีการอื่นๆ เช่น การทำลายโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อิหร่านด้วยอาวุธางไซเบอร์อย่าง Stuxnet เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อเกิดความขัดแย้งรุนแรง ทุกประเทศจะปกป้องและรักษาระบบไฟฟ้า ประปา การเงิน และ ระบบโทรคมนาคม อย่างสุดความสามารถเพื่อประเทศชาติและประชาชน เพราะสิ่งเหล่านี้ก็คือใจกลางของสิ่งที่เรียกว่า “โครงสร้างพื้นฐานวิกฤต” หรือ Critical Infrastructure (CI)
นายพชร กล่าวว่า การโจมตีทางไซเบอร์ไม่ได้เกิดแค่ในภาวะสงคราม มีการพยายามเจาะเข้าระบบโดยไม่ได้รับอนุญาตในระบบโครงสร้างวิกฤตเป็นหมื่นครั้งต่อวัน แต่ที่ประสบความสำเร็จเป็นการเข้าถึงระบบผ่านช่องว่างทางมนุษย์ หรือที่เรียกว่า social engineering คืออาชญากรรมหลอกลวงและ call center ต่างๆ
ในส่วนระบบโทรคมนาคมไทยมีทั้งระบบสายและไร้สาย เชื่อมต่อกันเป็นโครงข่าย มีผู้ประกอบการบนโครงข่ายหลายร้อยรายที่เป็นผู้รับใบอนุญาตจากกสทช.ต้องมีระบบป้องกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาตรฐานก็จะมี NIST และ ISO เฝ้าระวังการเจาะระบบและมาตรฐานต่างๆ ซึ่งระบบการเงินและตลาดทุนก็เช่นเดียวกัน
“จากประสบการณ์ที่ทำงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และฝึกอบรมทักษะเรื่องนี้มา 10 ปี เมื่อได้มาทำงานทั้งที่กสทช. และ ก.ล.ต. ทำให้มีโอกาสช่วยขับเคลื่อนและเพิ่มนโยบายการออกแบบ ปิดกั้นความเสี่ยงที่เป็นภัยความมั่นคงต่อประเทศไทย” นายพชรระบุ
กรณีที่บางองค์กรแสดงความเป็นห่วงเรื่องระบบไร้สายกับการเป็นเป้าของสงครามไซเบอร์ นายพชร มองว่าเป็นสิ่งที่ดีแต่โดยทั่วไปคลื่นความถี่ระบบดิจิทัลจะก่อกวนได้ยาก และเป็นสงครามอิเล็กโทรนิกส์มากกว่าไซเบอร์ ทางเจ้าของคลื่นความถี่มีระบบการตรวจสอบเพื่อป้องกันการกวนอยู่แล้ว และต้องมีมาตรฐานเดียวกับนานาชาติเช่น สมาชิก GSMA และ ITU เพื่อรองรับระบบ roaming และ billing ของทั้งโลก
สำหรับ กสทช.ไทยมีผู้ประกอบการไร้สายเพียง 2 รายนั้น นับเป็นข้อดีที่ให้มีประสิทธิภาพและเอกภาพในการสั่งการเรื่องความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกำกับดูแลโครงข่ายให้ใช้งานต่อเนื่องและตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยต่างๆ สามารถใช้อำนาจทางปกครองได้อย่างคล่องตัว และบริหารจัดการผู้บริการน้อยราย โดยไม่กระทบกับการดำเนินและการให้บริการประชาชน
นายพชร กล่าวว่า อนาคตประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของระบบโทรคมนาคมให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งระบบไร้สาย และ ระบบใต้น้ำ และวางตังเองเป็นศูนย์กลางของดาวเทียมด้วยเช่นกัน เราจะเป็น มะละกา ของระบบ information super highway ทำให้ กสทช. มีความสำคัญในการกำกับดูแลที่มากกว่าเรื่องของตลาดและการแข่งขันของผู้ประกอบการ
“การถูกต่อว่าโจมตีของผู้ที่ต้องการผลประโยชน์เข้าตัวเอง ย่อมทำร้ายอนาคตของประเทศ เราต้องพัฒนาคนให้มีความรู้เปิดกว้าง มีทัศนคติที่ดี และมีความรู้ความสามารถมากกว่าแค่โจมตีกันไปวันๆ” นายพชร กล่าวทิ้งท้าย.