POP: 7 สิงหาคม “สุขสันต์วันเกิดโนบิตะ” ปีนี้เด็กชายเสื้อเหลืองอายุ 61 ขวบแล้วนะ! ตัวละครผู้สอนให้เรารู้ว่า…กลัวได้แต่อย่ายอมแพ้
เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักการ์ตูน ‘โดราเอมอน’ (Doraemon) อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะผ่านมาสักกี่ปี โดราเอมอนก็ยังคงเป็นการ์ตูนที่โด่งดังและอยู่เคียงข้างผู้คนมาแทบจะทุกเจเนอเรชัน เพราะถ้าเป็นช่วงเยาว์วัย แทบทุกครอบครัวก็คงได้รับชมพร้อมหน้ากันทางทีวี แต่ถ้าหากเป็นยุคปัจจุบัน ถึงแม้สื่อโทรทัศน์จะลดน้อยลงเรื่อยๆ แต่จะเห็นว่า ‘โดราเอมอน เดอะมูฟวี่’ ในบ้านเรานั้น ตัวแทนจำหน่ายก็ยังคงนำส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่นมาฉายให้เราได้รับชมกันในทุกๆ ปี อย่างน้อยปีละหนึ่งภาค
แล้วรู้หรือไม่ว่าตัวละคร ‘โนบิตะ’ ที่เราคุ้นเคยกันนี้ เจ้าเด็กชายสวมแว่น เสื้อเหลือง สอบทีไรก็มักจะได้ 0 คะแนนอยู่ตลอด ทั้งยังชอบโดน ‘ไจแอนท์’ กับ ‘ซึเนโอะ’ กลั่นแกล้งอยู่เสมอ เขาเกิดวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1964 ซึ่งตรงกับวันนี้ โดยในปี 2025 นี้ นับว่าโนบิตะมีอายุถึง 61 ปีแล้ว!
และเนื่องด้วยวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของโนบิตะ BrandThink จึงอยากหยิบยกเอาบางลักษณะนิสัยอันพิเศษและน่าชื่นชมของโนบิตะมาให้ทุกคนได้อ่านกัน!
“ฉันจะสู้ด้วยมือเปล่า ถ้าฉันชนะได้ด้วยฝีมือของตัวเอง โดราเอมอนจะต้องปลื้มและดีใจในตัวฉันแน่ๆ”
เชื่อว่าบางคนในที่นี้ต้องเคยได้รับชมโดราเอมอนตอน ‘สแตนด์บายมี’ (Stand By Me) มากันไม่มากก็น้อย ซึ่งโควตดังกล่าวข้างตนนี้มาจาก ‘Stand by Me Doraemon’ ภาคแรก ที่ออกฉายไปเมื่อปี 2014
ว่าด้วยเรื่องราวหลังจากที่โดราเอมอนต้องลาจากกับโนบิตะ ด้วยเหตุผลที่ว่าตนได้ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงแล้ว กล่าวคือ โนบิตะสามารถใช้ชีวิตคนเดียวและสามารถเอาตัวรอดและดูแลตัวเองจากอุปสรรคในโลกภายนอกได้ด้วยตนเองแล้ว ด้วยเหตุนี้โนบิตะจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีโดราเอมอนคอยช่วยเหลืออีกต่อไป
เมื่อโนบิตะรู้ว่าตนต้องสูญเสียหุ่นยนต์แมวตัวโปรด และไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงข้างกันในอนาคต โนบิตะจึงตัดสินใจลงมือทำสิ่งสำคัญเพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่เด็กขี้แยอีกต่อไป ด้วยการ ‘ตั้งใจต่อสู้กับไจแอนท์’ ที่ทุกคนทราบกันดีว่าโนบิตะนั้นตัวเล็กกว่าไจแอนท์หลายเท่า พละกำลังและเรี่ยวแรงก็น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างไรโนบิตะก็ยังคงตั้งใจต่อสู้ด้วยมือของตัวเอง แม้รู้ว่าจะโดนต่อยเข้าอย่างจัง เขาก็เลือกที่จะไม่ถอย ไม่พึ่งพาของวิเศษ และไม่ร้องห่มร้องไห้ให้ไจแอนท์เห็น
สารหลักในฉากดังกล่าวคงเป็นการทำให้คนดูได้เห็นว่า นี่คือครั้งแรกที่โนบิตะไม่ ‘กลัว’ การเจ็บตัว แต่เลือกที่จะงัดเอา ‘ความกล้า’ ทั้งหมดที่มีมาใช้ ด้วยไม่อยากทำให้คนที่ตนรักต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เมื่อนำ ‘Doraemon Stand By Me’ มาเปรียบเทียบกับแนวคิดในจิตวิทยาเชิงบวก (Positive psychology) ที่กล่าวโดย อดีตประธานาธิบดี ‘แฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) แห่งสหรัฐอเมริกา ที่ว่า “Courage is not the absence of fear, but the decision that something else is more important than fear”
หากแปลเป็นไทยคือ “ความกล้าไม่ใช่การปราศจากความกลัว หากแต่คือการตระหนักว่า มีบางสิ่งสำคัญกว่าความกลัวนั้น” กล่าวอย่างง่าย คือ ความกล้าสามารถวัดได้จาก ‘ปริมาณของความกลัว’ ที่เราต้องฝืนข้ามผ่านมันเพื่อที่จะ ‘ลงมือทำ’ นั่นเอง
โดย ‘ความกลัว’ นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็นสองรูปแบบ คือ รูปธรรมและนามธรรม ยกตัวอย่างในรูปธรรมคือ ‘การกลัวแมลงสาบที่นอนอยู่กลางห้องน้ำ’ หรือ ‘กลัวความสูง’ ส่วนนามธรรมคือ การกลัวในมุมมองที่ลึกซึ้งและมองไม่เห็น เช่น ‘กลัวความล้มเหลว’ หรือ ‘กลัวความเหงา’
ในทางกลับกัน ‘ความกล้า’ ไม่ใช่การกำจัดความกลัว แต่เป็นการลดอำนาจของมันลง เพื่อไม่ให้มันมาขัดขวาง ซึ่งต่างจากความกลัวที่เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิม เนื่องจากความกล้าเป็น ‘กระบวนการที่เกิดจากการตัดสินใจ’ เราสร้างความกล้าหาญได้ด้วยการ ‘เผชิญหน้ากับความกลัว’ ซ้ำๆ จนเรามั่นใจว่าเราสามารถควบคุมมันได้
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ความกล้าอาจไม่มีอยู่เลย หากไม่ใช่คนที่เคยกลัวมาก่อน เปรียบเสมือนโนบิตะที่ต้องผ่านเส้นทางชีวิตมากมาย
การ์ตูนโดราเอมอนที่ว่าด้วยเรื่องความกล้าหาญชาญชัยของโนบิตะนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่ภาค ‘Stand by Me Doraemon’ เพียงภาคเดียว แต่ยังมีตอน ‘โนบิตะกับกำเนิดญี่ปุ่น’ (Doraemon: Nobita and the Birth of Japan) หรือตอน ‘โนบิตะผู้กล้าแห่งอวกาศ’ เป็นต้น
ถ้าหากเพื่อนๆ คนไหนยังไม่เคยรับชมภาคอื่นๆ ที่ว่ามานี้ เราอยากแนะนำให้เพื่อนๆ ทุกคนตามไปรับชมกันนะ เพราะจะได้เห็นทั้งมุมมองใหม่ๆ ของโนบิตะที่มากกว่าเด็กไม่เอาไหน และมุมที่ทำให้คนดูหลงรักที่ว่า ‘ถึงโนบิตะจะไม่ใช่ตัวละครที่เก่งกาจ แต่เขาคือคนที่กล้าหาญแม้จะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว’