รัฐบาลร่อแร่-กองทัพได้แต้ม
แต่หลายประเด็นยังคงค้างคา ไม่ว่าจะเป็นการกู้ทุ่นระเบิด การปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือข้อเรียกร้องของกัมพูชาให้ไทยรื้อลวดหนามใน 11 พื้นที่ รวมถึงประเด็นการใช้กำลังทางอากาศ ทั้งหมดสะท้อนว่านี่เป็นเพียง “การพักรบ” มากกว่าการยุติความขัดแย้งอย่างแท้จริง
แต่ต้องยอมรับว่า บทบาทของกระทรวงกลาโหมภายใต้การนำของ “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะรักษาราชการแทนรมว.กลาโหม ได้รับคำชื่นชม ว่า เดินเกมอย่างรอบคอบ และรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ขณะเดียวกันก็เรียกความเชื่อมั่นกลับคืนให้กองทัพ หลังเคยถูกมองเป็น “ตัวร้าย” จากบทบาทในอดีต
แตกต่างจากการเจรจาครั้งก่อนที่ “ภูมิธรรม” เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกฯ พร้อมทีมไทยแลนด์ ที่เป็นโต้โผหลักในการเจรจา โดยมี “อันวาร์อิบราฮิม”นายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานอาเซียน ทำหน้าที่คนกลาง
แม้จะได้ข้อตกลงหยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไข ที่มาพร้อมกับการกังขาจากสังคมว่า ยอมรับข้อตกลงกัมพูชาง่ายเกินไป และเวลาต่อมากัมพูชายังละเมิดข้อตกลงยิงเข้ามายังฝั่งไทย
กลับมาที่การทำหน้าที่ของ “บิ๊กเล็ก” หลังจากนี้ต้องดูว่า “เขมร” จะปฏิบัติตามข้อตกลง และสุดท้ายปลายทางสามารถทำงานได้บรรลุเป้าหมาย นอกจากไทยจะไม่เสียดินแดนแล้ว ความเชื่อมั่น และศรัทธาของกองทัพก็ได้รับความนิยมสูงขึ้น
ซึ่งความนิยมและความเชื่อมั่นสวนทางกับ “รัฐบาลเพื่อไทย” และ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกฯและรมว.วัฒนธรรม ที่รัฐบาลตอนนี้มีสภาพเหมือน “เป็ดง่อย” การทำงานไม่ทันต่อเหตุการณ์
เช่น การฟ้อง “สมเด็จฮุน เซน” ผู้บงการของกัมพูชา ในคดีอาญาและแพ่ง ที่เชื่อว่า เป็นการฟ้องร้องเอาผิดจะทำให้ “พ่อนายกฯเขมร” มีชนักติดหลัง เพื่อต้องการบรรเทาอารมณ์ของสังคม แต่หากหวังผลให้ได้รับโทษคงเป็นเรื่องยาก
ขณะที่เรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดน โดยเฉพาะใน จ.อุบลราชธานี ที่เบิกงบฟื้นฟูเพียง 55,600 บาท ต่างจากจังหวัดใกล้เคียงอย่าง สุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ ที่เบิกได้หลักหลายสิบล้านบาท
จนทำให้ “มท.2” ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย โทรหาผู้ว่าฯอุบลราชธานี กลางสภาฯ รับปากเรื่องการเบิกจ่ายงบ แต่ท้ายที่สุดไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้อย่างที่พูด ทำให้ประชาชนชาวอุบลฯเสียโอกาสได้รับการช่วยเหลือ จนสุดท้ายร้อนถึง “มท.อ้วน” สั่งเด้ง “ผู้ว่าฯเมืองดอกบัวงาม” ทันที
ขณะเดียวกันมีดราม่าเรื่องการเยียวยาทหาร และประชาชนผู้เสียชีวิตและทุพลภาพ จากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ได้เงินเยียวยาคนละ 8–10 ล้านบาทต่อราย
แต่มีเสียงสะท้อนจากทหารและตำรวจในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่สละชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติเช่นกัน แต่ไม่ได้รับการเยียวยาในมาตรฐานเดียวกัน ถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข เพื่อลบภาพความไม่เท่าเทียม
ซึ่งการแก้ปัญหาเหล่านี้ถือเป็นเรื่องยาก ประกอบกับสถานการณ์ของรัฐบาลจากปัญหาการเมือง และนิติสงครามที่กำลังรุกไล่ ไม่แน่ว่าจะมีเวลาให้แก้ไขปัญหาข้างต้นหรือไม่ เนื่องจากอีกไม่นานจะมีอีก 2 คดีสำคัญตัดสินชะตาของรัฐบาล
โดยเริ่มที่เรื่องคลิปเสียง “อังเคิลและหลาน” ที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดเส้นตาย 4 ส.ค.ที่ผ่านมาให้ “นายกฯอิ๊งค์” ส่งคำชี้แจง และคาดว่าจะมีการตัดสินในสิ้นเดือน ส.ค. หรือกลางเดือน ก.ย.
จากการประเมินคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่การรับคำร้องและสั่งให้ “อิ๊งค์” หยุดปฏิบัติหน้าที่ มองว่า เป็นไปได้ยากที่จะรอดพ้นไปได้ เนื่องจากคำพูด “นายกฯ” เป็นการทำให้เสื่อมเสียเกียรตินายกฯ
จึงต้องจับตาว่า “นายกฯอิ๊งค์” จะตัดสินใจลาออกก่อนการตัดสินหรือไม่ เพื่อไม่ให้มีตราบาปติดตัวว่าเป็นผู้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต และไร้จริยธรรม แม้ “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ จะยืนยันว่า “นายกฯอิ๊งค์” ไม่มีแนวคิดลาออกก็ตาม
ส่วนอีกเรื่องสำคัญที่ต้องจับตา คือคดี “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ศาลฎีกาฯนัดฟังคำตัดสินปมชั้น 14 ในวันที่ 9 ก.ย.นี้ ว่าถูกจำคุกจริงหรือไม่ ซึ่งจากการประเมิน และสืบพยานในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมาพบว่า ไม่เป็นคุณกับ “ทักษิณ” ฉะนั้นหากผลออกมาเป็นลบและต้องจำคุก เชื่อได้ว่า ต้องกระทบกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน.