CIMB THAI เปิดตัว “Sustainability360” โครงการที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน
ธนาคาร CIMB THAI เปิดตัว “Sustainability360” โครงการที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน ในงาน The Cooler Earth Thailand 2025 สร้างการเงินเพื่อความยั่งยืนผ่านวิสัยทัศน์ Forward30
8 สิงหาคม 2568 – ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดตัวโครงการที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน “Sustainability360” ภายในงานเสวนาความยั่งยืนประจำปี “The Cooler Earth Thailand 2025” ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดร่วมกับหอการค้ามาเลเซีย-ไทย ณ โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ สะท้อนความมุ่งมั่นของ CIMB THAI ในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนข้ามพรมแดนและยกระดับความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนของประเทศไทย
Sustainability360 ESG ต่อยอดมาจากความเชี่ยวชาญของ CIMB THAI ในด้านการเงินเพื่อความยั่งยืนและด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) โดยเป็นบริการให้คำปรึกษาครบวงจรแก่ลูกค้าธุรกิจและลูกค้าสถาบัน ในการออกแบบและจัดโครงสร้างตราสารทางการเงินเพื่อความยั่งยืน อาทิ ตราสารสีเขียว ตราสารเพื่อสังคม ตราสารเพื่อความยั่งยืน และตราสารที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน
โดยจะครอบคลุมทุกขั้นตอนของกระบวนการจัดหาเงินทุน ตั้งแต่การจัดทำกรอบการดำเนินงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล การประเมินและตรวจสอบความน่าเชื่อถือโดยหน่วยงานผู้ให้ความคิดเห็นภายนอก (Second-Party Opinion) ไปจนถึงการรายงานผลกระทบอย่างครบถ้วน
นายเจสัน ลี หัวหน้าฝ่ายความยั่งยืน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจในไทยต้องเผชิญกับความคาดหวังที่มากขึ้นจากนักลงทุน หน่วยงานกำกับดูแล และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ ดังนั้น การกล่าวอ้างเรื่องความยั่งยืนไม่ควรจะคลุมเครือ วันนี้ สิ่งสำคัญของการดำเนินการด้านความยั่งยืน คือต้องทำอย่างเป็นรูปธรรม น่าเชื่อถือ และโปร่งใส โครงการที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน
Sustainability360 ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จากด้านการเงินและการระดมทุน ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ เพื่อช่วยให้ลูกค้าของธนาคารสามารถบริหารจัดการเงินทุนเพื่อความยั่งยืนที่มีความซับซ้อนมากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิผล และสามารถนำเสนอโครงสร้างและรายงานผลกระทบที่สอดคล้องกับมาตรฐานกลางที่ใช้จำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Taxonomy alignment) และความต้องการของนักลงทุน
“CIMB Thai ตั้งเป้าที่จะมีสินเชื่อสีเขียวประมาณ 10% ของสินเชื่อสีเขียวของกลุ่ม ซึ่งเชื่อว่ามีโอกาส ด้วยปัจจัยหนุนคือ การจัดทำTaxonomy ของธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ระยะที่ 2 โดยโครงการสินเชื่อสีเขียวมีศักยภาพในกลุ่มเกษตร อสังหาริมทรัพย์ การผลิต อีกทั้งทีม Sustainability360 ของเรายังสามารถประสานร่วมกับประเทศอื่นที่ช่วยให้ลูกค้ามั่นใจถึงกรอบการดำเนินงานธุรกิจสีเขียว หรือ Taxonomy ในประเทศอาเซียนอื่นๆ” นายเจสันกล่าว
นายวุธว์ ธนิตติราภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า “ภายใต้กลยุทธ์ Forward30 ของกลุ่มซีไอเอ็มบี CIMB THAI ได้รับการยอมรับว่าเป็นธุรกิจสำคัญที่มีศักยภาพในการเติบโต และการเปิดตัวโครงการ “Sustainability360” นั้น ก็สอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มซีไอเอ็มบี ในการระดมเงินทุนเพื่อการเงินที่ยั่งยืนให้ได้ 300,000 ล้านริงกิต หรือประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2573 ด้วยการเสริมสร้างศักยภาพให้ลูกค้าของเราสามารถนำแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนมาผนวกเข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจ เราจะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจที่มีความเข้มแข็ง น้อมรับความหลากหลาย และมีความยั่งยืนมากขึ้น”
ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐได้มีนโยบายที่มุ่งเน้นการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนมากขึ้น ประกอบกับความต้องการผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนจากนักลงทุนต่างชาติในอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว CIMB THAI จึงได้ริเริ่มโครงการสนับสนุนธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทยที่กำลังเผชิญความท้าทายใหม่นี้อย่างทันท่วงที ด้วยการใช้ข้อมูลเชิงลึกในระดับภูมิภาคและเครือข่ายที่กว้างขวางทั่วอาเซียนผ่านกลุ่มซีไอเอ็มบี เพื่อริเริ่มโครงการที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน “Sustainability360” และสะท้อนถึงจุดยืนของ CIMB THAI ในฐานะพันธมิตรที่น่าเชื่อถือสำหรับธุรกิจที่แสวงหาการเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
นับตั้งแต่ CIMB THAI เริ่มดำเนินงานด้านความยั่งยืน ก็ได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่องในระดับภูมิภาค โดยในปี 2567 ธนาคารได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ Best Sustainability-Linked Loan – Scope 1 & 2 จากงาน The Digital Banker’s Global Sustainable Finance Awards สำหรับการจัดตั้งโครงสร้างสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนที่มีมูลค่าถึง 3,000 ล้านบาท โดยมีการกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เข้มงวด และในปีเดียวกัน ยังได้รับรางวัล Sustainability Rising Star จากงาน Asia Corporate Excellence & Sustainability (ACES) Awards ที่เป็นการตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำในการบุกเบิกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ขับเคลื่อนด้วยความยั่งยืนในประเทศไทย
นอกจากนี้เดือนตุลาคม 2567 ธนาคารยังได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการออกหุ้นกู้สีเขียวด้อยสิทธิ์ (subordinated green bond) ที่มีมูลค่าถึง 2,000 ล้านบาท ครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนและการขนส่งคาร์บอนต่ำ
BCG โมเดลเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืน
ภายในงานนายกฤษฎา เรืองโชติวิทย์ กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและสิ่งแวด ล้อม สภาหอการค้าไทยร่วมเสวนาในหัวข้อ BCG Model: Transforming Thailand’s Business Ecosystem โดยกล่าวว่า เศรษฐกิจแบบเดิมใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง นำไปสู่การตัดไม้ทำลายป่า เกิดมลพิษ และภาวะโลกรวน ซึ่ง 70% ของปัญหาโลกร้อนมาจากรูปแบบธุรกิจเดิม ทุกๆ การเพิ่มขึ้น 1 องศาของอุณหภูมิโลก สะท้อนความเสี่ยงที่รุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปะการังที่อาจสูญหายถึง 99% หากเกิน 2 องศาเซลเซียส
ผลกระทบจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศลามถึงสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ ทั้งสิทธิในการมีชีวิต มีอาหาร ยา ที่อยู่อาศัย นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงทั่วโลก
โมเดล BCG (Bio-Circular-Green Economy) คือคำตอบที่ยั่งยืนของไทย ด้วยจุดแข็งด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม
Circular Economy เริ่มจากการคิดใหม่ถึงวัสดุ เช่น แก้ว โลหะ พลาสติก ที่แม้บริสุทธิ์แต่กลายเป็นขยะเมื่อไม่ใช้ การสร้างคุณค่าใหม่ให้วัสดุคือหัวใจสำคัญ
ภาครัฐกำลังสนับสนุนพื้นที่ “Sandbox” เช่น สระบุรี Sandbox ภูเก็ต Sandbox ระยอง Sandbox เพื่อทดลองใช้แนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนจริง พร้อมรณรงค์การแยกขยะเปียก-แห้งให้เกิดผลจริง ขยะทุกประเภทมีคุณค่า ถ้าแยกถูกต้อง ขยะอันตรายต้องถูกจัดการเฉพาะ ส่วนขยะทั่วไปควรถูกลดให้เหลือน้อยที่สุด
การเติบโตของสินค้า BCG บนเวทีโลกมี 4 กลุ่มหลัก:
เกษตรและอาหาร – ใช้เทคโนโลยีชีวภาพและการเกษตรแม่นยำ
การแพทย์และสุขภาพ – พลิกวัสดุ single-use ให้กลับมาใช้ใหม่ได้
พลังงาน วัสดุ และชีวเคมี – สู่พลังงานสะอาดและการลงทุนที่ยั่งยืน
ท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ – ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ สร้างมูลค่าที่ยั่งยืน
“การเปลี่ยนผ่านเป็นเรื่องท้าทาย แต่คือโอกาสสำคัญในการสร้างผลลัพธ์มากขึ้น ด้วยการใช้ทรัพยากรน้อยลง” นายกฤษฎากล่าว