โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

‘ตั๊ก เกวลี จุติปัญญา’ : ประสบการณ์นักศึกษาปริญญาเอกไทยผู้ลุกขึ้นสู้กับการคุกคามในมหาวิทยาลัยอังกฤษ

ไทยพับลิก้า

อัพเดต 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
‘ตั๊ก เกวลี จุติปัญญา’ นักศึกษาปริญญาเอกปรัชญาดุษฎีบัณฑิตด้านวิศวกรรมโยธา/ วิศวกรนักขับเคลื่อนสังคมไทย ด้านคมนาคม/ทูตความปลอดภัยทางเพศในสถานศึกษาขั้นสูงของประเทศอังกฤษ/ผู้ก่อตั้งกลุ่มนักเรียนไทยเพื่อการสนับสนุนและช่วยเหลือในสหราชอาณาจักร

ประสบการณ์การถูกคุกคามและการต่อสู้

ตั๊ก เป็นนักศึกษาปริญญาเอกชาวไทยในสหราชอาณาจักรผู้ได้รับทุนการศึกษาจากองค์กรรัฐของอังกฤษ และเป็นวิศวกรผู้ขับเคลื่อนการพัฒนาด้านคมนาคมไทยครั้นประจำอยู่ที่ประเทศไทย ด้วยผลการเรียนและผลงานวิจัยที่โดดเด่น เธอเดินทางสู่รั้วมหาวิทยาลัยในอังกฤษพร้อมความหวังและมุ่งมั่นในเส้นทางวิชาการ แต่แล้วเธอกลับต้องเผชิญกับด้านมืดในระบบการศึกษา เมื่อบุคลากรทางวิชาการระดับสูงคนหนึ่งใช้อำนาจในทางมิชอบต่อเธอในลักษณะของ “การบงการเชิงอารมณ์” (manipulation) และ “การชักใยล่อลวง” (grooming) เพื่อหวังแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากความไว้ใจของเธอ ปัจจุบันเธอเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มช่วยเหลือและสนับสนุนนักเรียนไทยในอังกฤษ และทูตด้านการต่อต้านการคุกคามทางเพศ รับรองโดยกระทรวงกลาโหมของอังกฤษ

อาจารย์ผู้ช่วยสอนที่ถูกเชิญมาจากมหาวิทยาลัยอื่นนี้เริ่มต้นด้วยการแสดงตนเป็นผู้เมตตาและสนับสนุน เธอได้รับคำชมเชยในความสามารถทางวิชาการ และถูกโน้มน้าวให้เชื่อว่าเขาจะเป็น “พี่เลี้ยง” ทางอาชีพที่เปิดโอกาสให้เธอก้าวหน้าในสายงาน พฤติกรรมของเขาค่อยๆ ล้ำเส้นจากความห่วงใยทางวิชาการ ไปสู่ความสนิทสนมเชิงส่วนตัวเกินขอบเขตอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นรูปแบบการ grooming ที่พบเห็นได้ทั่วไปในกรณีการล่วงละเมิดทางเพศโดยอาจารย์ ช่วงแรกเขาทำทีเป็นที่ปรึกษาทางปัญญา ชักชวนทำกิจกรรมเพื่อการศึกษา นำเสนอเงินทุน จากนั้นจึงรุกคืบมาผูกพันทางอารมณ์ และในที่สุดก็เผยความต้องการในเชิงชู้สาว

เธอเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ เช่น ข้อความส่วนตัวที่กล่าวชื่นชม หรือแสดงความเห็นเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของเธออย่างไม่เหมาะสม และการนัดหมายพบปะกันในลักษณะส่วนตัวโดยอ้างการทำงาน (คล้ายกับกรณีในมหาวิทยาลัย Glasgow ที่อาจารย์มีพฤติกรรมชมรูปลักษณ์นักศึกษาและนัดพบเป็นการส่วนตัวในห้องปิดจนเหยื่อ “รู้สึกเหมือนตัวเองถูกทำให้เป็นวัตถุทางเพศ”)

สถานการณ์มาถึงจุดที่เกินจะยอมรับได้ เมื่ออาจารย์ผู้นี้ขอให้ช่วย “ตรวจสอบ” วิดีโออนาจารจำนวนมากที่เขาแอบถ่ายนักศึกษาหญิงคนอื่นอย่างลับๆ แบบมีสัมพันธ์ การขอให้เธอดู ภาพหลักฐานการละเมิดผู้อื่น เช่นนี้ มิใช่เพียงการล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของเหยื่อในวิดีโอเท่านั้น หากยังเป็นการพยายามดึงเธอเข้าไปพัวพันกับการกระทำผิดด้วย หลังจากตกตะลึงเมื่อเห็นหลักฐานความต่ำช้าของผู้มีตำแหน่งสูงส่งทางวิชาการที่ควรเป็นแบบอย่าง แต่กลับกระทำตนเยี่ยงผู้ละเมิดซ้ำซาก เธอตระหนักชัดว่าการกระทำนี้เป็นการหักหลังความไว้วางใจระหว่างอาจารย์กับศิษย์อย่างร้ายแรง และเป็นการล่วงล้ำสิทธิของนักศึกษาหญิงเหล่านั้นอย่างไม่น่าอภัย ความรู้สึกหวาดกลัวและขยะแขยงเข้าจู่โจมเธอ แต่ในขณะเดียวกัน ความโกรธและสำนึกในความถูกต้อง ก็ผลักดันให้เธอตัดสินใจลุกขึ้นต่อสู้ แทนที่จะตกเป็นเหยื่อที่ถูกปิดปากต่อไป

เธอรวบรวมสติและวางแผนตอบโต้อย่างเป็นระบบ ในใจของเธอรู้ดีว่าหากจัดการผิดพลาด ชื่อเสียงและความปลอดภัยของเธอเองอาจตกอยู่ในความเสี่ยง เนื่องจากคู่กรณีเป็นผู้มีอำนาจในสถาบัน เธอจึงเริ่มด้วยการบันทึกและเก็บรวบรวมหลักฐานการคุกคามเท่าที่จะทำได้ พร้อมทั้งปรึกษากับบุคคลที่ไว้ใจได้ทั้งในมหาวิทยาลัยและนอกมหาวิทยาลัย เธอค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิของตนและนโยบายของมหาวิทยาลัย เพื่อเตรียมพร้อมดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสม เธอตัดสินใจแจ้งเหตุการณ์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของมหาวิทยาลัย โดยไม่ยอมให้ผู้กระทำผิดใช้ตำแหน่งหน้าที่มาข่มขู่ให้เธอนิ่งเงียบ แม้ว่าโดยสถิติทั่วไปแล้ว “ข้อร้องเรียนส่วนใหญ่เกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศในมหาวิทยาลัยอังกฤษกลับไม่ถูกสอบสวนใดๆ” (สะท้อนถึงระบบที่มักเพิกเฉยปัญหาเพื่อปกป้องชื่อเสียงองค์กร) เธอก็มุ่งมั่นจะฝ่าอุปสรรคเหล่านั้นด้วยความจริงและความกล้า

ตลอดกระบวนการนี้ เธอต้องต่อสู้กับความรู้สึกหลากหลายภายในใจ ระหว่างกระบวนการร้องเรียน เธอต้องเผชิญกับแรงต้านจากทั้งบุคคลและระบบที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย เธอถูกลดทอนความสำคัญ ถูกกล่าวหาว่าคิดมาก และได้รับคำแซวที่บั่นทอนกำลังใจ แม้บางคนให้คำมั่นว่าจะช่วย แต่กลับเลือกปกป้องชื่อเสียงขององค์กรมากกว่าสนับสนุนผู้เสียหาย ไม่มีใครรอบตัวที่เข้าใจหรือมีความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรื่องนี้ ตั๊กจึงต้องเรียนรู้ ค้นหา และดำเนินการด้วยตนเอง ท่ามกลางวัฒนธรรมที่ปลูกฝังให้เงียบและไม่สร้างปัญหา มหาวิทยาลัยไม่ใช่พื้นที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป

ทั้งความหวาดกลัวต่ออำนาจมืดที่อาจเล่นงาน การลังเลว่าสังคมจะเข้าใจหรือไม่ เพราะเราไม่เคยได้รับการให้ความรู้เรื่องพวกนี้อย่างเป็นระบบ และความกดดันที่แบกรับอยู่คนเดียวในต่างแดน แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ยอมจำนนต่อความอยุติธรรม ความศรัทธาในคุณค่าความถูกต้องทำให้เธอก้าวข้ามความกลัวส่วนตัว เธอเปิดเผยในภายหลังว่า ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่หนักหนาที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิตเธอ

แต่ก็เป็นจุดแบ่งสำคัญที่เธอตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้ “เรื่องเลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับฉัน” มากำหนดชีวิตเธออย่างถาวร หากตรงกันข้าม เธอจะเปลี่ยนมันเป็นพลังขับเคลื่อนเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ใครต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกันอีก

การก่อตั้งเครือข่ายช่วยเหลือนักเรียนไทยในอังกฤษ

ประสบการณ์ที่เจ็บปวดครั้งนี้ทำให้เธอเห็นชัดเจนว่า ปัญหาการถูกเอารัดเอาเปรียบและคุกคามในต่างแดน ไม่ได้เกิดกับเธอเพียงลำพัง นักเรียนไทยและนักเรียนต่างชาติอีกมากมายในสหราชอาณาจักรต้องเผชิญความเสี่ยงและความเปราะบางในรูปแบบต่างๆ เมื่ออยู่ไกลบ้าน เธอจึงริเริ่มก่อตั้งกลุ่มหรือเครือข่ายอิสระเพื่อช่วยเหลือนักเรียนไทยในอังกฤษ โดยรวบรวมเหล่าผู้เชี่ยวชาญและจิตอาสาชาวไทยจากหลากหลายสาขาในสหราชอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาชีพด้านกฎหมาย จิตวิทยา แพทย์ พี่ๆ นักศึกษารุ่นพี่ ตลอดจนคนไทยในชุมชนท้องถิ่นที่พร้อมยื่นมือช่วยเหลือ เครือข่ายนี้เกิดขึ้นจากหัวใจของผู้เคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายและไม่ต้องการให้ใครต้องต่อสู้โดยลำพัง

เป้าหมายหลักของกลุ่มคือการสร้างระบบพี่เลี้ยงและที่ปรึกษา ให้แก่นักเรียนไทยที่ประสบปัญหาในอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการถูกเอาเปรียบด้านแรงงานหรือค่าแรง การถูกคุกคามทางเพศหรือการข่มเหงรังแก การถูกล่วงละเมิดทางเชื้อชาติ หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ (เช่น อุบัติเหตุ การเจ็บป่วยรุนแรง หรือเหตุการณ์สูญเสีย) ตัวอย่างเช่น ในอดีตเคยมีกรณีนักเรียนไทยเสียชีวิตกะทันหันที่อังกฤษ จนเพื่อนๆ ต้องระดมทุนเพื่อจัดพิธีศพและส่งร่างกลับประเทศ กรณีเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของเครือข่ายช่วยเหลือที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เมื่อเกิดเหตุร้ายหรือปัญหาใดๆ สมาชิกในเครือข่ายจะประสานงานกันเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างรอบด้าน เริ่มจากการรับฟังและให้คำปรึกษาทางใจ ในบรรยากาศที่ปลอดภัยและไม่ตัดสินเหยื่อ

จากนั้นจึงแนะนำแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม เช่น วิธีการแจ้งความตำรวจในกรณีถูกอาชญากรรม การรวบรวมพยานหลักฐาน การติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานท้องถิ่น ตลอดจนการจัดหาล่ามหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายถ้าจำเป็น และทีมงานยังช่วยเชื่อมโยงผู้ประสบเหตุเข้ากับบริการสนับสนุนต่างๆ ของมหาวิทยาลัย เช่น ศูนย์บริการสุขภาพจิต หรือสายด่วนปรึกษาปัญหาการคุกคามของสถานศึกษานั้นๆ นอกจากนี้ กลุ่มยังกำลังจัดประชุมพบปะและเวิร์กชอปให้ความรู้แก่นักเรียนไทยเป็นระยะ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงสิทธิของตนและวิธีป้องกันตนเองในต่างแดน

เครือข่ายนี้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเวลาอันรวดเร็ว จากการบอกต่อแบบปากต่อปากในชุมชนคนไทยในอังกฤษ บัดนี้มันกลายเป็นเสมือนครอบครัวใหญ่ของนักเรียนนักศึกษาที่พำนักในต่างแดน ที่คอยโอบอุ้มดูแลกันยามทุกข์ยาก ปัจจุบันมีนักเรียนไทยในสหราชอาณาจักรราว ที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยส่วนใหญ่เป็นระดับบัณฑิตศึกษาเธอตั้งใจให้เครือข่ายนี้เป็นที่พึ่งพิงสำหรับทุกคนในกลุ่มดังกล่าว ด้วยความเชื่อว่า ไม่มีใครควรถูกทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวเมื่อเผชิญปัญหาในต่างแดน การลงมือทำของเธอสะท้อนคติที่ว่า “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

ผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ระดับมหาวิทยาลัยและระดับประเทศ

แม้จะต้องแบกรับบาดแผลทางใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอก็ไม่ปล่อยให้ความอยุติธรรมที่เธอประสบกลายเป็นเพียงเรื่องเงียบๆ ที่ถูกลืมเลือน ตรงกันข้าม เธอใช้มันเป็นพลังขับเคลื่อนในการเรียกร้องการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ทั้งในระดับมหาวิทยาลัยของเธอเอง และในระดับนโยบายของประเทศอังกฤษโดยรวม

ภายหลังการเปิดโปงพฤติกรรมอื้อฉาวของอาจารย์ผู้กระทำผิด มหาวิทยาลัยที่เธอกำลังศึกษาอยู่ได้ถูกกดดันให้ทบทวนนโยบายและกระบวนการจัดการข้อร้องเรียนภายในอย่างจริงจังยิ่งขึ้น ทำให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยต้องยอมรับว่าช่องโหว่ในระบบปัจจุบันเอื้อให้เกิดการใช้อำนาจในทางมิชอบ เธอเสนอแนะมาตรการต่างๆ โดยอ้างอิงแนวปฏิบัติที่ดีจากงานวิจัยและองค์กรที่เชี่ยวชาญ เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบเรื่องร้องเรียนการล่วงละเมิด การอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรทุกระดับเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เข้าข่ายการละเมิดขอบเขตและการ groom และการกำหนดช่องทางรายงานเหตุที่ปลอดภัยและไม่เปิดเผยตัวผู้แจ้ง

ความพยายามของเธอสอดคล้องกับกระแสการแก้ไขปัญหานี้ในระดับประเทศ ณ ขณะนั้น ในช่วง ค.ศ. 2022-2025 สหราชอาณาจักรเกิดการตื่นตัวอย่างมากต่อปัญหาการล่วงละเมิดในสถาบันอุดมศึกษา โดยมีการศึกษาและรายงานหลายชิ้นที่บ่งชี้ถึงขอบเขตความรุนแรงของปัญหา ตัวอย่างเช่น สำนักงานกำกับดูแลการอุดมศึกษาอังกฤษ (Office for Students, OfS) เปิดเผยผลสำรวจปี 2024 ว่า นักศึกษามากกว่า 1 ใน 3 เคยประสบกับการถูกคุกคามหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศในรอบปีที่ผ่านมา และในจำนวนผู้ถูกคุกคามทั้งหมดนั้น 7% ระบุว่าผู้กระทำคือบุคลากรทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเอง ที่น่าหนักใจกว่านั้นคือ หลายคนยอมอยู่ในความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับอาจารย์อย่างจำยอม เพราะเกรงว่าหากปฏิเสธ “จะส่งผลเสียต่อการเรียนหรืออาชีพ” ของตน และกว่า 94% ของนักเรียนไม่กล้าที่จะรายงานเรื่องดังกล่าว ข้อมูลเชิงประจักษ์เหล่านี้ช่วยเน้นย้ำข้อเรียกร้องของเธอว่า จำเป็นต้องมีมาตรการเชิงระบบมาคุ้มครองนักศึกษา ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างอาจารย์กับศิษย์ตามยถากรรม

ด้วยแรงผลักดันจากทั้งผู้เสียหายอย่างตั๊กและกลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคมอื่นๆ ทำให้หลายมหาวิทยาลัยในอังกฤษเริ่มทยอยดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น มหาวิทยาลัยทั่วประเทศได้ริเริ่มใช้เครื่องมือและนโยบายใหม่ๆ เพื่อป้องกันและรับมือการล่วงละเมิดทางเพศ โดยมีกรอบกำกับจากส่วนกลาง ตัวอย่างเช่น มีการนำระบบรายงานเหตุออนไลน์แบบไม่เปิดเผยชื่อมาใช้แพร่หลายในหลายสถาบัน เพื่อให้นักศึกษาสามารถแจ้งเหตุและร้องทุกข์ได้อย่างปลอดภัย “Report and Support” ถือเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ได้รับการนำมาใช้ในหลายมหาวิทยาลัย

ผนวกช่องทางรายงานออนไลน์นี้เข้ากับโครงการฝึกอบรมสร้างวัฒนธรรมเคารพความยินยอมของนิสิตนักศึกษา นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยหลายแห่งได้จัดตั้งหน่วยบริการเฉพาะทาง เช่น เจ้าหน้าที่ผู้รับฟังและช่วยเหลือผู้ถูกคุกคามทางเพศ ที่ผ่านการฝึกอบรม (Sexual Violence Liaison Officers) ทีมเจ้าหน้าที่สวัสดิการนักศึกษา และทีมสืบสวนข้อร้องเรียนที่ใช้แนวทางการสอบสวนอย่างเข้าใจผลกระทบทางจิตใจของเหยื่อ มาตรการเหล่านี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นมากขึ้นว่า ข้อร้องเรียนจะได้รับการดำเนินการอย่างเหมาะสมและเห็นใจต่อผู้เสียหาย

ในระดับชาติ เมื่อเสียงเรียกร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลก็ไม่อาจเพิกเฉยได้ Office for Students ได้ออกข้อกำหนดใหม่ในการกำกับดูแลมหาวิทยาลัย ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2025 โดยกำหนดให้สถาบันอุดมศึกษาในอังกฤษทุกแห่งต้องประกาศนโยบายและแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการป้องกันและจัดการกรณีการคุกคามและล่วงละเมิดทางเพศในชุมชนของตน

ข้อกำหนดนี้ระบุรายละเอียดว่ามหาวิทยาลัยต้องดำเนินการหลายด้าน ได้แก่ การฝึกอบรมบุคลากรและนักศึกษา เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพฤติกรรมคุกคามและขั้นตอนการแจ้งเหตุ การจัดให้มีบริการสนับสนุนช่วยเหลือผู้เสียหายอย่างเป็นระบบ และการจัดทำช่องทางหรือกลไกการรายงานเหตุที่เข้าถึงง่ายและปลอดภัยสำหรับทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น มหาวิทยาลัยจะต้องประกาศมาตรการป้องกันการใช้อำนาจในทางที่ผิดในความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างอาจารย์กับศิษย์อย่างชัดเจน ตลอดจนจำกัดการใช้ข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูล (Non-Disclosure Agreements – NDAs) ในกรณีการคุกคามและล่วงละเมิด (ซึ่งอดีตที่ผ่านมามักถูกใช้เพื่อปกปิดเรื่องอื้อฉาวและปิดปากเหยื่อ)

เครื่องมือเชิงนโยบายเหล่านี้ที่ “ตั๊กภาคี” ผลักดัน ได้เริ่มเห็นผลในทางปฏิบัติ ขณะนี้มหาวิทยาลัยทั่วสหราชอาณาจักรต่างทยอยปรับปรุงกฎระเบียบภายในของตนให้สอดคล้องกับมาตรฐานใหม่ หลายแห่งยกเลิกนโยบายล้าหลังที่เคยมองข้ามปัญหา เช่น กรณีมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งที่เคยระบุไว้ในคู่มือว่า “มหาวิทยาลัยไม่ประสงค์จะห้ามความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา แต่ฝากความรับผิดชอบไว้ที่ความซื่อสัตย์ของทั้งสองฝ่ายว่าจะไม่ฉวยโอกาสใช้อำนาจในทางที่ผิด”

แนวคิดเช่นนี้กำลังถูกแทนที่ด้วยกรอบจริยธรรมใหม่ที่เข้มแข็งกว่า เธอมีบทบาทอย่างยิ่งในการผลักดันเรื่องเหล่านี้ ด้วยการให้ข้อมูลเชิงลึกจากประสบการณ์ตรงของเธอในการประชุมเชิงนโยบาย การเข้าร่วมเวทีเสวนา และการทำงานร่วมกับกลุ่มรณรงค์ด้านความปลอดภัยในมหาวิทยาลัย

ความท้าทายในฐานะนักศึกษาหญิงสายวิศวกรรม

การต่อสู้ของเธอเกิดขึ้นในบริบทที่ท้าทายยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อพิจารณาว่าเธอเป็นนักศึกษาหญิงในสายวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นสาขาที่ขึ้นชื่อว่ามีความไม่สมดุลทางเพศอย่างมาก ในแวดวงวิศวกรรมไม่ว่าจะในภาคการศึกษาหรือในตลาดแรงงาน ผู้หญิงยังคงเป็นสัดส่วนที่น้อยนิด ตัวเลขล่าสุดชี้ว่า ผู้หญิงมีสัดส่วนในอาชีพด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีในสหราชอาณาจักรเพียงประมาณ 15.7% ในปี 2023 และมีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนๆ นั่นหมายความว่า ในห้องเรียน ห้องทดลอง หรือที่ทำงานด้านวิศวกรรม จะมีผู้ชายประมาณ 5-6 คนต่อผู้หญิง 1 คน สภาวะแวดล้อมที่ผู้หญิงเป็นชนกลุ่มน้อยเช่นนี้ ส่งผลให้วัฒนธรรมการทำงานและบรรทัดฐานทางสังคมภายในสาขาอาชีพถูกกำหนดโดยมุมมองของผู้ชายเป็นหลัก และบ่อยครั้งนำไปสู่การเพิกเฉยหรือลดทอนความรุนแรงของปัญหาที่ผู้หญิงเผชิญ

เธอเองได้สัมผัสกับบรรยากาศดังกล่าวมาตลอดการเรียนวิศวกรรม เธอจำต้องพิสูจน์ความสามารถของตนท่ามกลางสายตาที่คลางแคลงใจของเพื่อนร่วมสาขาบางคน ในสภาพแวดล้อมที่ผู้หญิงมีน้อย เสียงของพวกเธอมักถูกกลบหรือไม่นำพา การร้องเรียนหรือพูดถึงปัญหาใดๆ โดยเฉพาะเรื่องการถูกคุกคามทางเพศ จึงเสี่ยงที่จะถูกตีตราว่า “คิดมากไป” หรือแย่กว่านั้นคือถูกโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง หรือแม้กระทั่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกกับเธอว่า “ลองรอให้เขาทำร้ายจนเลือดออก หรือพังประตูเข้ามา แล้วทำให้เธอล้มลงกับพื้นก่อน…ค่อยโทรมาอีกที เราจะดูว่าในตอนนั้นพอจะทำอะไรได้บ้าง” การที่เธอลุกขึ้นยืนหยัดกับความไม่เป็นธรรม จึงต้องใช้ความกล้าหาญและความมั่นใจในตนเองอย่างมาก เพราะเธอไม่ได้เผชิญแค่ตัวผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่ยังต้องฝ่าฟันทัศนคติแบบชายเป็นใหญ่ที่แฝงฝังอยู่ในวัฒนธรรมการเรียนการสอนของสาขานี้ด้วย

ในระหว่างที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ตั๊กต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงต่ออนาคตทางวิชาการของตนเองอย่างใหญ่หลวง ด้วยความที่สายวิศวกรรมมีผู้หญิงน้อย การขาดที่ปรึกษาหญิงหรือผู้สนับสนุนที่เข้าใจสถานการณ์ของเธอโดยตรงทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยว บางขณะเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าหากเธอยอมถอย ชีวิตการเรียนของเธออาจ “ง่าย” ขึ้น ไม่ต้องสั่นคลอนระบบใหญ่โตนี้ แต่ความคิดเช่นนั้นผ่านมาเพียงชั่วครู่ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่น เธอตระหนักดีว่าหากเธอไม่พูดออกมา สิ่งที่เธอและนักศึกษาหญิงคนอื่นเจอก็จะถูกกวาดไว้ใต้พรมต่อไป และรุ่นน้องหญิงคนต่อๆ ไปก็อาจต้องเจอกับวงจรอุบาทว์นี้ซ้ำอีก

มีงานวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุนว่า ปัญหาการคุกคามทางเพศส่งผลกระทบต่อการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในวงวิชาการและวิชาชีพอย่างไร นักวิจัยพบว่า การที่สภาพแวดล้อมไม่น่าไว้วางใจและไม่ปลอดภัยทางเพศ สามารถบั่นทอนความเชื่อมั่นในตนเองของผู้ถูกคุกคาม ทำให้พวกเธอสูญเสียสมาธิในการเรียนและการวิจัย บางคนถึงกับต้องเปลี่ยนหัวข้อวิจัย ย้ายกลุ่มวิจัย เลี่ยงการเข้ามหาวิทยาลัย หรือไม่ก็ล้มเลิกการศึกษาต่อไปเลยก็มี ความจริงข้อนี้เองที่ทำให้เธอยิ่งเชื่อมั่นว่า การยืนหยัดของเธอไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเอง แต่เพื่อรักษาสิทธิในการเรียนรู้ของนักศึกษาหญิงทุกคน ให้ไม่ต้องสูญเสียโอกาสทางการศึกษาเพียงเพราะการใช้อำนาจโดยมิชอบของผู้กระทำผิดไม่กี่คนในระบบ

ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องการการปฏิรูป

กรณีของเธอเน้นย้ำให้เห็นว่า นี่ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะบุคคลหรือเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นครั้งเดียว หากแต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในระบบอุดมศึกษามาช้านาน ประสบการณ์ของเธอสอดคล้องกับรูปแบบที่พบในหลายประเทศทั่วโลก คือ ผู้กระทำความผิดมักเป็นบุคลากรคนเดิมๆ ที่สามารถฉวยโอกาสทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่เหยื่อแต่ละรุ่นไม่รู้เท่าทันกันและกันว่าเกิดอะไรขึ้น ส่งผลให้มีนักศึกษาและเจ้าหน้าที่รุ่นแล้วรุ่นเล่าได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่อง ความกลัวและความอับอายทำให้เหยื่อจำนวนมากเลือกที่จะนิ่งเงียบหรือถอนตัวออกจากสถานการณ์ แทนที่จะต่อสู้ในระบบที่ดูเหมือนเอื้อประโยชน์ต่อผู้มีอำนาจ และสถาบันหลายแห่งก็มีแนวโน้มที่จะปกป้องชื่อเสียงของตนเองมากกว่าจะปกป้องนักศึกษา (ดังที่ Al Jazeera เคยรายงานว่าการร้องเรียนเรื่องการละเมิดทางเพศจำนวนมากไม่ได้รับการสอบสวนอย่างจริงจังในมหาวิทยาลัยอังกฤษ)

โครงสร้างอำนาจที่ไม่สมดุลระหว่างอาจารย์กับศิษย์คือหัวใจของปัญหานี้ ในอดีต มหาวิทยาลัยจำนวนมากขาดแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา บ่อยครั้งมีการมองข้ามว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวอาจนำไปสู่การใช้อำนาจในทางมิชอบ ดังกรณีของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ที่เคยถูกวิจารณ์เพราะนโยบายระบุว่าจะไม่ห้ามความสัมพันธ์ลักษณะนี้และ “พึ่งพาความซื่อสัตย์ของทั้งสองฝ่าย” ในการป้องกันปัญหา แนวคิดเช่นนี้สะท้อนมายาคติที่ว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบนความเท่าเทียม ทั้งที่ในความเป็นจริงนักศึกษาย่อมตกอยู่ใต้บังคับบัญชาและการประเมินผลของอาจารย์ ทำให้แนวคิดเรื่อง “ความยินยอม” (consent) ในความสัมพันธ์เชิงอำนาจเช่นนี้มีความซับซ้อนและเปราะบางอย่างยิ่ง

กรณีของเธอแสดงให้เห็นด้วยว่า ผู้กระทำมักวางแผนอย่างแยบยลและต่อเนื่องเป็นลำดับขั้น พวกเขามักเล็งหาเหยื่อหลายคน เพื่อทดลองข้ามขีดจำกัดของแต่ละคนทีละน้อย หากใครตอบสนองเชิงลบก็จะเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ผู้อื่นที่อาจอ่อนแอกว่า ในงานศึกษาพบว่าพฤติกรรม grooming ของเจ้าหน้าที่สถาบันการศึกษามักมีรูปแบบเป็น “pattern” ซ้ำๆ และเจ้าหน้าที่ที่ทำผิดมักมีเหยื่อมากกว่าหนึ่งคนเสมอ การร้องเรียนแยกแต่ละกรณีโดดๆ โดยไม่เชื่อมโยงข้อมูลกันจึงทำให้มองไม่เห็นภาพรวมของปัญหา และทำให้ผู้กระทำผิดหลุดรอดได้ครั้งแล้วครั้งเล่า นักวิจัยปัญหาการล่วงละเมิดในมหาวิทยาลัยชี้ว่า การพิจารณาข้อร้องเรียนแบบแยกส่วนคือความผิดพลาด เพราะไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของการกระทำผิดที่มักเป็นแบบต่อเนื่องและมีหลายเหยื่อ

ด้วยเหตุนี้เธอจึงเน้นย้ำเสมอว่า เรื่องที่เกิดกับเธอ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวระหว่างเธอกับอาจารย์คนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นอาการหนึ่งของโรคร้ายในระบบการศึกษา และมีนักเรียนหลายคนติดต่อมาที่เธอเพื่อเล่าถึงเหตุการณ์ของตัวเอง การแก้ไขจึงต้องมุ่งที่การปฏิรูปโครงสร้าง วัฒนธรรมองค์กร และนโยบายในระดับสถาบัน ไม่ใช่แค่จัดการตัวบุคคลเป็นกรณีๆ ไป

การรณรงค์ของเธอเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยทั่วประเทศยอมรับความจริงข้อนี้และดำเนินการเชิงรุก เช่น การสร้างระบบแจ้งเหตุที่โปร่งใสและเป็นมิตรกับเหยื่อ การกำหนดจรรยาบรรณที่เข้มงวดและบทลงโทษที่เด็ดขาดสำหรับการละเมิด การแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้กระทำผิดระหว่างสถาบัน (เพื่อป้องกันกรณีย้ายงานไปก่อเหตุที่อื่นต่อ) ตลอดจนการสนับสนุนงานวิจัยหรือการสำรวจภายในเพื่อวินิจฉัย “จุดบอด” ของตนเอง

นอกจากการปรับปรุงเชิงนโยบายแล้ว เธอยังเน้นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรในมหาวิทยาลัยควบคู่ไปด้วย เธอกล่าวว่า ตราบใดที่ผู้มีอำนาจยังเห็นแก่ชื่อเสียงขององค์กรมากกว่าสวัสดิภาพของนักศึกษา ปัญหานี้ก็จะยังเกิดขึ้นซ้ำอีก วัฒนธรรมที่ผู้บริหาร “เกรงเรื่องอื้อฉาว” ต้องถูกแทนที่ด้วยวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและศักดิ์ศรีของนักศึกษาเป็นอันดับแรก การสร้างบรรยากาศที่ทุกคนกล้าพูด กล้าแจ้งเหตุ และเชื่อว่าเสียงของตนจะได้รับการรับฟังอย่างเป็นธรรม คือสิ่งที่เธอและผู้สนับสนุนของเธอกำลังมุ่งมั่นผลักดันให้เกิดขึ้นจริงในรั้วมหาวิทยาลัย

สร้างพื้นที่ปลอดภัยและความหวังให้รุ่นต่อไป

ณ วันนี้ เรื่องราวของเธอได้ถูกถ่ายทอดออกมาในที่สาธารณะ เพื่อเป็นอุทาหรณ์และแรงบันดาลใจ ให้กับนักเรียนนักศึกษารุ่นต่อๆ ไป การเปิดเผยประสบการณ์ของเธอในบทความนี้และเวทีอื่นๆ ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อเล่าความทุกข์ หากแต่เพื่อจุดประกายความหวังและการเปลี่ยนแปลงในเชิงสร้างสรรค์ เธอตั้งใจสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับนักศึกษาไทยและนักศึกษาต่างชาติที่จะสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างเปิดเผย รับฟังและเยียวยากัน และได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิและแนวทางการปฏิบัติยามเผชิญวิกฤติ เธอเชื่อมั่นว่าการเล่าเรื่องในพื้นที่ที่ปลอดภัยเช่นนี้ จะช่วยให้ผู้ประสบเหตุได้ระบายความอัดอั้น ได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม และอาจช่วยผู้อื่นที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายกันให้กล้าออกมาแสวงหาความช่วยเหลือบ้าง

ในสายตาของเธอ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจะเกิดขึ้นได้ยั่งยืนก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเชิงทัศนคติควบคู่กัน เธอมุ่งมั่นที่จะทำงานเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ที่เคยถูกเอารัดเอาเปรียบแต่ไม่กล้าพูด และจะเดินหน้าสร้างเครือข่ายแนวร่วมทั้งชาวไทยและนานาชาติในการรณรงค์เพื่อมหาวิทยาลัยที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น เธอได้กลายเป็นผู้นำโดยพฤติการณ์ ที่แสดงให้เห็นว่านักศึกษาหญิงตัวเล็กๆ จากอีกซีกโลกก็สามารถส่งเสียงที่ดังกึกก้องจนโครงสร้างใหญ่ต้องสะเทือน และเมื่อเสียงเหล่านั้นประสานกันเป็นจำนวนมากขึ้น “การปฏิรูปก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้”

เธอวาดภาพอนาคตที่นักศึกษาไทยรุ่นต่อๆ ไปจะเดินทางมาเรียนต่างแดนด้วยความมั่นใจมากยิ่งขึ้น เพราะพวกเขาจะมีทั้งความรู้ในการป้องกันตนเอง และชุมชนที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เธอตั้งใจจะจัดทำคู่มือและแนวปฏิบัติในภาษาที่เข้าถึงง่ายสำหรับนักเรียนไทยในอังกฤษ เช่น “คู่มือเอาตัวรอดเมื่อเผชิญการคุกคามในต่างประเทศ” ซึ่งรวบรวมทั้งข้อมูลกฎหมายอังกฤษ ข้อพึงปฏิบัติยามฉุกเฉิน และช่องทางติดต่อหน่วยงานความช่วยเหลือต่างๆ เธอจะต่อยอดให้ครอบคลุมบริบทของการเรียนต่อต่างประเทศโดยเฉพาะ เนื่องจากธุรกิจการส่งเด็กมาเรียนต่างประเทศนั้น เป็นที่นิยมอย่างมากในสังคมไทย

แม้ว่าการต่อสู้ของเธอจะยังไม่สิ้นสุด แต่ได้รับรู้ถึงผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมหลายประการจากความกล้าหาญของเธอ เช่น มหาวิทยาลัยต่างๆ ในอังกฤษเริ่มหันมาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังทั้งเชิงนโยบายและปฏิบัติ นักศึกษาและบุคลากรจำนวนมากขึ้นกล้าพูดถึงประสบการณ์ของตนเอง ทำให้สังคมได้รับรู้ว่า “อาจารย์ก็สามารถเป็นผู้ล่วงละเมิดได้เช่นกัน” ไม่ใช่แค่เพียงนักศึกษาด้วยกัน

นอกจากนี้ หน่วยงานระดับชาติก็เล็งเห็นความจำเป็นของการลงมาควบคุมดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เธอได้รับการติดต่อจากองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ร่วมให้คำปรึกษาและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงเชิงอำนาจในสถาบันการศึกษา เสียงของเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นลูกใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้า

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอพยายามขับเคลื่อนในทุกภาคส่วนที่สามารถเข้าถึงได้ เป็นหนึ่งในเสียงเล็ก ๆ ที่ลุกขึ้นสู้ เพื่อเรียกร้องให้พื้นที่การศึกษาในสหราชอาณาจักรปลอดภัยมากขึ้นสำหรับนักเรียนทุกคน วันนี้ กฎเกณฑ์ใหม่ที่ระบุชัดเจนถึงพฤติกรรมคุกคามทางเพศของอาจารย์ และความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัย ได้ถูกประกาศใช้แล้วอย่างเป็นทางการ เสียงเล็ก ๆ ได้เริ่มเปลี่ยนระบบแล้ว และสำหรับเด็กไทยคนหนึ่ง นี่เพียงแค่จุดเริ่มต้นของการต่อสู้เท่านั้น

เรื่องราวของเธอจึงไม่ใช่เพียงโศกนาฏกรรมส่วนบุคคล หากแต่เป็นบทบันทึกหน้าใหม่ของการเปลี่ยนแปลง มันฉายภาพให้เห็นว่า ภายใต้ความเจ็บปวดและความอยุติธรรม หากเราลุกขึ้นสู้อย่างมีสติและมีระบบ เราสามารถเปลี่ยนบาดแผลให้กลายเป็นพลังในการสร้างสรรค์สังคมที่ดีขึ้นได้ ตั๊กได้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้เสียงของผู้หญิงตัวเล็กๆ จะเคยถูกละเลย แต่เมื่อเธอเปล่งออกมาด้วยความจริงและความกล้า เสียงนั้นย่อมมีพลังที่จะสั่นสะเทือนไปถึงโครงสร้างที่เคยมองข้ามเธอ เส้นทางข้างหน้าอาจยังอีกยาวไกลในการปรับเปลี่ยนทัศนคติ วัฒนธรรม และนโยบาย แต่ทุกย่างก้าวที่เธอและผู้หญิงทั่วโลกร่วมกันเดินไป กำลังสร้าง อนาคตที่ปลอดภัยและเป็นธรรมยิ่งขึ้นให้กับนักเรียนไทยรุ่นต่อๆ ไป ในโลกกว้างใบนี้

สำหรับนักเรียนไทยในอังกฤษ สามารถขอเข้ากลุ่ม “นักเรียนไทยในอังกฤษ เพื่อการสนับสนุนและช่วยเหลือ (Non-Profit)” ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/groups/1710148749551472/

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยพับลิก้า

จุฬาฯ เปิดตัว ‘ER-VIPE’ นวัตกรรม VR ฝึกทีมสหวิชาชีพห้องฉุกเฉิน ยกระดับความปลอดภัยผู้ป่วย

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ปะทะชายแดน ‘ไทย – กัมพูชา’ รัฐเยียวยา 404 ล้าน – สูงสุด 10 ล้าน/ราย

19 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

เตชะ ทับทอง เตือนมดดำ!! ย้อนดูการกระทำตัวเองชี้นำสังคมหรือไม่

TOJO NEWS

‘กองทัพภาค 2’ ย้ำ! ชายแดนยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ 2 ฝ่ายยังวางกำลัง-ขอประชาชนเฝ้าระวัง

เดลินิวส์

‘ภาษีทรัมป์’ เขย่าตลาดทองคำโลก หลังสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าทองคำ ร้อนถึงโรงสกัดทองคำในเอเชียระงับการส่งทองคำไปสหรัฐฯ ชั่วคราว

THE STANDARD

9 ทันโลก : เมื่อกัมพูชาเสนอชื่อ “ทรัมป์” รับรางวัลโนเบล

สำนักข่าวไทย Online

กวาดล้างผับดังย่านรังสิตพ่นพิษ! สั่งย้าย ผบก.ภ.ปทุมฯ-5 เสือประตูน้ำจุฬาฯ-ตั้งกก.สอบภายใน 7 วัน

JS100

อนาคตกีฬาในบุรีรัมย์จะเป็นอย่างไร หลังข้อพิพาทเขากระโดง

THE STANDARD

‘ฮุนเซน’ โพสต์อ้างทหารไทยยิงหนังสติ๊กใส่ จี้สั่งหยุดทันที ส่อบานปลายใช้อาวุธอื่น

เดลินิวส์

'ฮุน เซน' ยักไหล่ มหา'ลัยไทยเพิกถอนปริญญา ชี้ทิ้งลงส้วมไปตั้งแต่ 18 ปีที่แล้ว

Khaosod

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...