‘ภาษีทรัมป์’ เขย่าตลาดทองคำโลก หลังสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าทองคำ ร้อนถึงโรงสกัดทองคำในเอเชียระงับการส่งทองคำไปสหรัฐฯ ชั่วคราว
ตลาดทองคำโลกปั่นป่วน หลังหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (U.S. Customs and Border Protection: CBP) ชี้แจงว่าจะมีการจัดเก็บภาษีทองคำแท่งนำเข้าขนาด 1 กิโลกรัม และ 100 ทรอยออนซ์
สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างอิงจาก Financial Times ซึ่งรายงานโดยอ้างถึงจดหมายจากหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) ว่า สหรัฐฯ ได้เรียกเก็บภาษีสำหรับการนำเข้าทองคำแท่งน้ำหนัก 1 กิโลกรัม
จดหมายดังกล่าวซึ่งลงวันที่ 31 ก.ค. ระบุว่า ทองคำแท่งน้ำหนัก 1 กิโลกรัม และ 100 ทรอยออนซ์ ควรถูกจัดให้อยู่ในพิกัดศุลกากรที่ต้องเสียภาษี
ทั้งนี้ ทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัมได้รับความนิยมมากใน COMEX ตลาดตราสารอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งประกอบด้วยทองคำแท่งจากสวิตเซอร์แลนด์เป็นส่วนใหญ่
การประกาศเก็บภาษีนำเข้าทองคำครั้งนี้ อาจยิ่งซ้ำเติมสวิตเซอร์แลนด์ที่เผชิญภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ในอัตราสูงถึง 39% หลังรัฐบาลสวิสประสบความล้มเหลวในการยื่นข้อเสนอเพื่อแลกกับการลดอัตราภาษีนำเข้าได้ทันก่อนกำหนดเส้นตายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 7 ส.ค.
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างความตกตะลึงทั่วตลาดทองคำแท่ง โดยสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold futures) ในนิวยอร์กพุ่งทำนิวไฮ ขณะที่นักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้บริหารในอุตสาหกรรมทองคำแท่งต่างตื่นตระหนก เพราะไม่เคยคาดคิดว่าทองคำจะได้รับผลกระทบใดๆ จากกำแพงการค้า
การตั้งกำแพงภาษีต่อทองคำแท่ง อาจเสี่ยงกระทบกระแสการค้าทองคำโลก โดยเฉพาะในสวิตเซอร์แลนด์ และศูนย์กลางสกัดทองคำอื่นๆ ทั่วโลก เช่น ลอนดอน และฮ่องกง เนื่องจากสวิตเซอร์แลนด์เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมาก จากการเร่งส่งออกทองคำในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการหยิบยกขึ้นมาพูดคุยบนโต๊ะเจรจาการค้าบ้างแล้วก่อนหน้านี้
นักลงทุนและนักวิเคราะห์ต่างกำลังพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ ว่ามาตรการภาษีดังกล่าวมีผลบังคับใช้เมื่อไร ใช้กับประเทศไหน หรือแม้แต่จะหลีกเลี่ยงอย่างไรได้บ้าง บ้างก็ว่าเป็นความผิดพลาดของหน่วยงาน CBP หรือแม้แต่เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โดยก่อนหน้านี้ นักลงทุนต่างคาดว่าทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัม และ 100 ทรอยออนซ์ จะได้รับการเว้นภาษีที่ทรัมป์เรียกเก็บสวิตเซอร์แลนด์ในอัตรา 39% แต่ CBP กลับจัดทองคำแท่งให้อยู่ในพิกัดศุลกากร
Robert Gottlieb อดีต นักลงทุนโลหะมีค่า และกรรมการผู้จัดการ JPMorgan Chase & Co. ระบุว่า “ทองคำแท่งมักถูกเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างธนาคารกลางและแหล่งทุนสำรองระหว่างประเทศ เราไม่เคยคิดเลยว่าทองคำแท่งจะโดนขึ้นกำแพงภาษีด้วย”
รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความตกตะลึงผ่านอัตราภาษีที่เรียกเก็บแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ และประเภทสินค้า ซึ่งในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ราคาซื้อขายทองแดงล่วงหน้าลดลงอย่างมาก หลังทำเนียบขาวประกาศเว้นทองแดงจากการเรียกเก็บภาษี 50%
ทางด้าน ผู้จัดการจากโรงสกัดทองคำรายใหญ่ 2 แห่งในเอเชีย เผยว่าได้ระงับการส่งทองคำไปยังสหรัฐฯ ชั่วคราวจนกว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับกำแพงภาษี
กำแพงภาษีที่มีต่อทองคำแท่งในครั้งนี้ จะสร้างแรงกดดันต่อ Karin Keller-Sutter ประธานาธิบดีสวิตเซอร์แลนด์เป็นอย่างมาก เนื่องจากสวิตเซอร์แลนด์เป็นชาติที่ได้รับอัตราภาษีสูงที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
โดย Karin Keller-Sutter ได้บินด่วนไปยังทำเนียบขาวในวันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา แต่ถูกทรัมป์ปฏิเสธการขอเข้าพบ
แต่ละประเทศจะมีพิกัดศุลกากรที่กำหนดขอบเขตของอากรไว้ เมื่อพิจารณาตามจดหมายของ CBP ตามการรายงานของ Financial Times ทองคำแท่งซึ่งควรจะอยู่ในพิกัด 7108.12.10 ที่ไม่ต้องเสียอากร แต่กลับอยู่ในพิกัด 7108.13.5500 แทน
ซึ่งมีความหมายว่าเป็น ‘ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป’ แทนที่จะเป็น ‘ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้ผ่านการแปรรูป’ (Unwrought) ตามความหมายที่ปรากฏบนหน้าเว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ (U.S. International Trade Commission: USITC)
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าทองคำแท่งขนาดอื่นๆ เช่น ขนาด 400 ทรอยออนซ์ ซึ่งเป็นขนาดที่นิยมเทรดในลอนดอน จะถูกเรียกเก็บภาษีด้วยหรือไม่ โดยผู้จัดการโรงสกัดทองคำรายหนึ่งกล่าวว่า หากไม่เป็นเช่นนั้น ทองคำขนาดดังกล่าวจะถูกส่งไปยังสหรัฐฯ เพื่อหล่อเป็นขนาด 1 กิโลกรัมอีกที
Nikos Kavalis กรรมการผู้จัดการ บริษัทที่ปรึกษา Metals Focus กล่าวว่า “การเก็บภาษีทองคำไม่ว่ากับขนาดใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใดทั้งนั้น เนื่องจากช่องว่างระหว่างราคาสปอต และราคาซื้อขายล่วงหน้า จะทำให้มีปัญหาการผลิตตามมา ผมคาดว่าคงเป็นความเข้าใจผิด หรือระบุพิกัดคลาดเคลื่อน ไม่เช่นนั้นก็เป็นการตัดสินใจที่งี่เง่ามาก และอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
สำหรับความเคลื่อนไหวของราคาทองคำในประเทศไทย ปี 2568 ตั้งแต่ต้นปีจนปัจจุบัน (8 ส.ค.) ราคาปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว 9,550 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาสูงสุดของปีนี้อยู่ที่ 54,800 บาทต่อบาททองคำ และราคาต่ำสุด อยู่ที่ 42,550 บาทต่อบาททองคำ
อ้างอิง: