อนาคตกีฬาในบุรีรัมย์จะเป็นอย่างไร หลังข้อพิพาทเขากระโดง
ตลอดหลายปีหลัง บุรีรัมย์เป็นฮับกีฬาของภาคอีสาน โดยเฉพาะในโซนอีสานใต้ ในแต่ละปี มีงานกีฬาสำคัญๆ จัดขึ้นที่นี่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตรายการต่างๆ หรือฟุตบอลไทยลีก ที่ในช่วงเปิดฤดูกาลก็จะได้เห็นช้างอารีน่าคึกคักและคลาคล่ำไปด้วยแฟนบอลเกือบตลอด
โดยเฉพาะ 2 งานใหญ่ของจังหวัดบุรีรัมย์ อย่าง บุรีรัมย์ มาราธอน ที่ในปีหน้า (2026) จะครบรอบ 10 ปี และศึกโมโตจีพี ที่กำลังจะเข้าสู่ปีสุดท้ายของสัญญาฉบับที่ 2 ในปีหน้า โดยทั้ง 2 อีเวนต์นี้ นับเป็นกิจกรรมกีฬาระดับโลกที่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา THE STANDARD เคยรายงานเหตุการณ์ที่ทำให้แฟนๆ กีฬาก็ต้องตั้งคำถามถึงอนาคตของวงการกีฬาในบุรีรัมย์ หลังจากที่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ เดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ประกาศว่ากรมที่ดินมีอำนาจในการเพิกถอนโฉนดที่ดินในพื้นที่ 5,083 ไร่ ภายใต้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรค 8 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2568
เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากการอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของของการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท. เหนือที่ดิน 5,083 ไร่ โดยระบุว่าคำพิพากษาของศาลต่างๆ รวมถึงศาลฎีกา (เลขที่ 842-876/2560, เลขที่ 8027/2561) ศาลอุทธรณ์ภาค 3 (เลขที่ 1112/2563) และศาลปกครองกลาง (เลขที่ 548/2566) ได้ตัดสินอย่างชัดเจนว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของรัฐและเป็นของพวกเขา
การอ้างสิทธิ์ของ รฟท. อิงตามการกำหนดที่ดินเพื่อใช้ในการรถไฟภายใต้พระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ. 2464 มาตรา 3 (2) และได้รับการคุ้มครองโดยมาตรา 6 (1) และ (2) พวกเขาอ้างถึงพระราชกฤษฎีกาและแผนที่ประกอบจากปี พ.ศ. 2465 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ว่า รฟท. ได้ซื้อที่ดินจาก 18 ครอบครัวที่เคยครอบครองมาก่อน
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีการเข้าใจกันว่า พื้นที่ในส่วนของสนามช้างอารีน่าของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และสนามแข่งรถ บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต สร้างทับที่ของการรถไฟ และอาจจะต้องมีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด
หลังจากนั้นในวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ทางฝั่งบุรีรัมย์ก็มีการเคลื่อนไหวเพื่อชี้แจงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ ในงานแถลงข่าวที่มีชื่อว่า ‘ข้อพิพาทเขากระโดง ความจริงที่ถูกปกปิด’ ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์
ใจความสำคัญของงานแถลงข่าว คือการยืนยันว่าสิทธิในที่ดินของประชาชนยังคงชอบด้วยกฎหมายและได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายต่างๆ รวมถึงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประมวลกฎหมายที่ดิน และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 37
ทางฝั่งบุรีรัมย์ยังได้มีการยืนยันว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ที่ รฟท. อ้างถึงนั้นผูกพันเฉพาะคู่ความและที่ดินพิพาทในคดีนั้นๆ เท่านั้น (ประมาณ 35-39 คดี) และไม่สามารถนำมาใช้กับผู้ถือครองที่ดิน 995 รายที่ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเหล่านั้นได้
ข้อโต้แย้งสำคัญในงานแถลงข่าวคือการอ้างว่า จนถึงปัจจุบันไม่ปรากฏว่ามีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตและจัดซื้อที่ดิน พร้อมแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อรับรองให้ รฟท. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บนที่ดินบริเวณเขากระโดงตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ. 2464 และแผนที่ที่ รฟท. ใช้กล่าวอ้างในคดีที่ผ่านมานั้น คือแผนที่สำรวจ (Exploitation Plan) ของ รฟท. จัดทำขึ้นเพื่อรองรับการขนย้ายหินชั่วคราวเท่านั้น และไม่ใช่ทางรถไฟเพื่อใช้ในการเดินรถตามกฎหมาย หรือแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาที่ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย
ซึ่งนั่นทำให้มีการกล่าวว่า แผนที่ของ รฟท. อาจไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์และไม่ได้แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาอย่างเป็นทางการ โดยเรียกว่าข้อมูลดังกล่าวเป็น “เท็จ”
ข้อโต้แย้งดังกล่าว ทำให้ทางสนามบุรีรัมย์ ทั้งสนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต และสนามฟุตบอลช้าง อารีน่า แสดงความมั่นใจว่า การแข่งขันทุกอย่างที่จะมีขึ้นในอนาคต จะถูกจัดได้ตามปฏิทินปกติ
โดยทาง ประมูลชัย นพสุวรรณวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานทรัพย์สินและผู้อำนวยการสายงานการตลาดและการสื่อสาร สโมสรบุรีรัมย์ ยืนยันว่า ฟุตบอลฤดูกาลใหม่ทุกรายการ จะแข่งขันในสนามช้างตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นเกมในประเทศ หรือเกมชิงแชมป์ระดับภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม THE STANDARD SPORT ได้สอบถามไปถึงกรณีที่แย่ที่สุดหากมีคำสั่งจากภาครัฐ ทำให้สนามช้าง อารีน่า ใช้ทำการแข่งขันในฤดูกาลหน้าไม่ได้ ทาง ประมูลชัย ตอบว่าพวกเขาก็ยังมีสนามเขากระโดง เป็นสนามสำรองอยู่ ดังนั้นแฟนบอลไม่ต้องกังวลอย่างแน่นอน
ด้าน ตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ ผู้อำนวยการ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ก็ยืนยันให้สปอนเซอร์ และแฟนๆ วางใจว่า การแข่งขันกีฬาความเร็วต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต รวมถึงศึกโมโตจีพี ในปีหน้า จะยังสามารถจัดการแข่งขันที่สนามแห่งนี้ได้แน่นอน
ในกรณีที่แย่ที่สุด หากรัฐมีคำสั่งรื้อถอน หรือให้ย้ายออกจากพื้นที่ ทางสนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต ก็ไม่ลำบากนัก เนื่องจากสนามแห่งนี้มีพื้นทับซ้อนกับพื้นที่พิพาท 5,083 ไร่ เพียงแค่เล็กน้อย บริเวณโค้ง 11 และ โค้ง 12 เท่านั้น และหากถึงเวลานั้นจริง ก็อาจจะมีการปรับเปลี่ยนเลย์เอาต์สนาม หรืออาจจะจ่ายค่าเช่าพื้นที่ให้ รฟท. ก็ได้ เพียงแต่ปัจจุบัน ก็ยังมั่นใจว่าพวกเขาถือครองโฉนดอย่างถูกต้องอยู่
อย่างไรก็ตาม ตนัยศิริ ก็ยอมรับว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ สร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ของสนามไปแล้ว และหากในกรณีที่ประเทศไทยไม่สามารถจัดการแข่งขันโมโตจีพีได้ตามแผน การกีฬาแห่งประเทศไทย อาจต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับ ดอร์นา สปอร์ต (เจ้าของ MotoGP) และอาจต้องดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องความเสียหายในภายหลัง
ส่วนการตัดสินข้อพิพาทหลังจากนี้ คดีอยู่ในมือของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI แล้ว โดยเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 คณะพนักงานสืบสวนคดีพิเศษที่ 97/2568 DSI นำโดย พ.ต.ต. ณฐพล ดิษยธรรม ได้รับ “แผนที่สำคัญ” จาก รฟท. ซึ่งระบุชัดเจนว่าที่ดินเขากระโดงเป็นของ รฟท. โดยเฉพาะในส่วนที่อยู่ห่างจากทางรถไฟไปด้านซ้ายและขวา 1,000 เมตร จนถึงหลักกิโลเมตรที่ 8 แผนที่เหล่านี้จัดทำขึ้นโดยกรมที่ดินและ รฟท. ตามคำสั่งศาลปกครอง
DSI จะใช้แผนที่เหล่านี้เป็นหลักฐานหลักในการสอบสวน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ การออกเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทยที่สั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ คณะพนักงานสืบสวนจะตรวจสอบว่าที่ดิน 5,083 ไร่ของ รฟท. มีการใช้ประโยชน์อย่างไร และจะมีการลงพื้นที่จริงระหว่างวันที่ 19-23 สิงหาคม 2568 เพื่อตรวจสอบสภาพพื้นที่และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ DSI จะสอบสวนครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 5,083 ไร่ โดยใช้แผนที่ของ รฟท. เป็นฐานข้อมูล และจะนำข้อมูลแปลงที่ดินจากสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์มาประกอบเพื่อตรวจสอบว่าการออกโฉนดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ขณะที่ทาง บุรีรัมย์เอง ก็จะต่อสู้ในแง่ความถูกต้องของแผนที่ที่ รฟท. กล่าวอ้าง และพวกเขาก็มั่นใจว่า หลักฐานที่มีอยู่ในมือของพวกเขานั้น แข็งแรงมากเช่นกัน
นั่นหมายจนถึงปัจจุบันนี้ ทางสนามทั้ง 2 ของบุรีรัมย์ ก็ยังมั่นใจว่า พวกเขาถือครองโฉนดที่ดินถูกต้อง และมั่นใจว่า มหกรรมกีฬาต่างๆ จะสามารถจัดการแข่งขันในอนาคตได้ตามปกติ
กรณีที่แย่ที่สุด คือบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อาจจะต้องย้ายไปแข่งขันที่สนามเขากระโดง แต่จะยังทำการแข่งขันต่อไปได้ ส่วนกีฬามอเตอร์สปอร์ต ก็อาจจะต้องมีการปรับเลย์เอาต์สนามเล็กน้อย แต่ก็ไม่น่ามีปัญหาต่อการแข่งขัน ส่วนมาราธอนในบุรีรัมย์นั้น แทบไม่กระทบอะไรเลย เพราะสามารถเปลี่ยนจุดสตาร์ต หรือเส้นทางวิ่งได้นั่นเอง
นั่นหมายความว่า อย่างน้อยๆ กีฬาต่างๆ ในบุรีรัมย์ ก็น่าจะยังเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งฟุตบอล, มาราธอน ในช่วงต้นปีหน้า และโมโตจีพี ภายใต้สัญญาปีสุดท้าย
และระหว่างนั้น ก็อาจจะต้องจับตาการทำงานของ DSI ไปพร้อมกันด้วย