ภาคประชาชนไม่เห็นด้วยสร้างฝายดักตะกอนพิษน้ำกก ชี้ทำลายบ้านปลา ชงรัฐบาลตั้งศูนย์ตรวจมลพิษ
ชงรัฐบาลจัดตั้งศูนย์ตรวจมลพิษจังหวัดเชียงราย-กสม.จัดเวทีใหญ่ ภาคประชาชนและหลายหน่วยงานรัฐไม่เห็นด้วยสร้างฝายดักตะกอนพิษ-แนะรัฐเร่งสำรวจเยียวยาชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ที่ห้องประชุมแสนหวี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จ.เชียงราย สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่องแนวทางการจัดการปัญหามลพิษ สิ่งแวดล้อม ในภาพรวมของแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย โดยมีตัวแทนจากภาครัฐและภาคประชาชน รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) และ International Rivers กล่าวว่าปัญหามลพิษแม่น้ำ 4 สาย กก สาย รวก โขง หากไม่ยุติเหมืองเถื่อนรัฐฉานโดยทันที อาจจะเป็นเหมือนประสบการณ์ที่รัฐคะฉิ่น ภาคเหนือของพม่า คือกลุ่มคนจีนเข้ามาทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทบนภูเขาต้นน้ำลำธารกว่า 400 เหมืองเพื่อส่งแร่ราคาแพงนี้กลับไปจีน ส่งผลร้ายแรงต่อคุณภาพน้ำ แม่น้ำกลายเป็นกรด กระทบต่อสุขภาพของประชาชน ที่แม่น้ำโขงคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ได้ตรวจพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานตลอดแนวชายแดนไทยลาว และในตอนนี้แม่น้ำโขงกำลังจะถูกกั้นด้วยโครงการเขื่อนปากแบง ในลาว ซึ่งกำลังจะทำให้แม่น้ำโขงกลายเป็นอ่างนิ่งๆ สะสมสารโลหะ จึงเป็นคำถามว่าจะดำเนินการอย่างไร หากมีการเดินหน้าสร้างเขื่อนแล้วแม่น้ำโขงกลายเป็นน้ำพิษ
นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่าตั้งแต่ว่ามีการตรวจพบสารโลหะหนักจนถึงปัจจุบัน การแก้ปัญหานี้ของรัฐบาลสอบตก ขณะที่องค์กรภาครัฐระดับท้องถิ่นทำงานอย่างเต็มที่ แต่ไม่เห็นภาครัฐบาลให้ความสนใจอย่างจริงจังโดยเฉพาะเรื่องอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน การทำงานของรัฐต้องยกระดับในการแก้ไขปัญหา เหมือนกับกรณีของกัมพูชา เพราะที่นี่ก็เป็นสงครามเช่นกัน เป็นวิกฤตของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เรื่องนี้ไม่ใช้เป็นปัญหาเฉพาะบ้านเรา แต่เป็นความมั่นคงของรัฐและระหว่างประเทศ ดังนั้น กสม.ก็ต้องยกระดับไปถึงสิทธิมนุษยชนของอาเซียน หากปล่อยให้เป็นอยู่เหมือนปัจจุบัน หายนะเกิดขึ้นแน่นอน เพราะตอนนี้ไม่มีการแก้ไขที่ทำให้สารพิษหายไปได้ เพราะต้นเหตุคือเหมืองแร่ก็ยังปล่อยสารพิษอยู่ ชีวิตของประชาชนเหมือนอยู่ในสงคราม
“โครงการเขื่อนปากแบงที่จะกั้นแม่น้ำโขง เป็นเรื่องใหญ่ หากสารพิษตกตะกอนในอ่างจะเป็นเรื่องแก้ไขได้ยากอาจต้องใช้เวลาอีกนับร้อยปี” นายนิวัฒน์ กล่าว
นายอาวีระ ภัคมาตร์ ผอ.สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ กล่าวว่า ได้เก็บตัวอย่างน้ำที่ท่วมตอนเมื่อ 19 มีนาคม ผลออกปลายเดือน ตนใช้เวลาดูข้อมูลอยู่ 3 วัน ต้องถามเจ้าหน้าที่อยู่หลายรอบเพราะทราบดีว่าเมื่อประกาศออกไปว่ามีค่าสารโลหะหนักเกินค่าจะมีประเด็นตามมาอีกมาก แรกๆ ชุลมุนวุ่นวายมาก คำถามที่ย้อนมาคือผลตรวจถูกต้องหรือไม่ เราได้เพิ่มจุดตรวจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะช่วงแรกไม่มีงบประมาณ ต้องโยกงบบริหารภายใน ตอนนี้เก็บตัวอย่างมา 9 ครั้ง พบมีการปนเปื้อน บางครั้งเพิ่มขึ้น บางครั้งลดลง
“ข้อเท็จจริงคือมีการปนเปื้อนแน่นอน แต่ที่เรารู้สึกอึดอัด เมื่อเราไปคุยกับชาวบ้าน เช่น ปางช้างไม่มีนักท่องเที่ยวทำให้เหลือช้างเพียง 4 เชือก คนขายของก็ขายไม่ได้ คำถามคือเราไปเก็บข้อมูลแล้วเก็บอีก ก็พบอีก ประเด็นคือเราจะอยู่กันอย่างไร” นายอาวีระ กล่าว
ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ นักวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย กล่าวว่าการตั้งศูนย์ตรวจเคยมีการเสนอแต่ถูกผลักตกจากราชการเพราะกลัวซ้ำซ้อน จริงๆเรื่องของการเก็บตัวอย่าง หากมีมาตรฐานสากลก็ไม่มีอะไรต้องถกเถียงเพราะเกินค่ามาตรฐานเหมือนกันอยู่แล้ว เพียงแต่ผลที่ออกมาแล้วจะนำไปขับเคลื่อนอย่างไร ถ้ามีศูนย์ตรวจสอบของมหาวิทยาลัย 3 แห่งของเชียงราย สามารถวางแผนจัดการร่วมกันได้
น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศกล่าวว่า ตอนนี้ทุกหน่วยงานกำลังแบกรับปัญหาที่ใหญ่ แต่รัฐบาลนิ่งมากโดยเฉพาะรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงสาธารณสุข ที่ควรทำงานใกลิชิดกัน เพราะกรณีนี้มีความเสี่ยงสูงร้ายแรงในวันข้างหน้า ควรมีการตั้งกลไกระดับประเทศของ 2 หน่วยงานนี้ร่วมกัน และให้ทุกหน่วยงานมาทำงาน ที่สำคัญคือประชาชนอยู่กันอย่างไรเมื่อตรวจพบแล้ว เพราะมันหมายถึงชีวิตของเขา
“ทั้ง 2 กระทรวงควรคุยกันว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้าง เช่น การสำรวจความเสียงหายครอบคลุมพื้นที่เท่าไร ลักษณะความเสียหายเป็นอย่างไร ประสานความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพัฒนาสังคมฯ 2 กระทรวงนี้ต้องเป็นเจ้าภาพ ต้องมีมาตรการเป็นรูปธรรม เช่นผู้เสียหายทางเศรษฐกิจ จะมีมาตรการพิเศษช่วยเหลือเยียวยาอย่างไร เช่น มาตรการลดภาษีให้ผู้ประสบภัยมลพิษข้ามพรมแดน เรื่องนี้เช่นนี้จะปล่อยให้ทำงานไปตามยถากรรมไม่ได้ และเรื่องนี้ควรขยับให้เป็นมลพิษข้ามแดนของอาเซียน” เพ็ญโฉม กล่าว
ขณะที่ผู้แทนของประมงจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการสร้างฝายดักตะกอน เพราะไม่มีงานวิจัยรองรับ และฝายจะทำลายบ้านของปลา จึงไม่เห็นด้วยที่เอาน้ำกกกลายเป็นส้วมสาธารณะแล้วต้องคอยดูดอุจาระออกไป
“เราเก็บตัวอย่างปลาแค้ที่เป็นตุ่มไม่ได้ ปลาตัวใดที่เป็นตุ่มชาวบ้านโยนทิ้งเลย เพราะชาวประมงเขากลัวขายปลาไม่ได้จึงไม่ยอมให้สำนักงานประมงเอาไปตรวจ อยากให้มีการเยียวยาชาวประมง เพราะเขาหาปลาแต่ขายไม่ได้ เห็นด้วยว่าควรตั้งศูนย์ตรวจไว้ที่เดียว มีงบกลาง” ผู้แทนประมงจังหวัด กล่าว
ทั้งนี้ในที่ประชุมเห็นตรงกันว่าควรมีศูนย์ตรวจสอบและความร่วมมือของจังหวัดเชียงรายโดยใช้มหาวิทยาลัย 3 แห่งเป็นฐาน เนื่องจากในปัจจุบันมีหลายองค์กรที่เข้ามาตรวจคุณภาพน้ำ ดิน สัตว์ พืชและระบบนิเวศ แม้ผลออกมาจะตรงกันว่ามีสารโลหะหนักในแม่น้ำเกินมาตรฐาน แต่กำลังจะกลายเป็นความสับสนให้กับชาวบ้าน ดังนั้นจึงควรมีการจัดตั้งศูนย์ขึ้นมา
นอกจากนี้ในที่ประชุม ภาคประชาชนได้ร่วมกันสะท้อนปัญหาหลากหลาย แต่สิ่งที่อยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการคือการยุติเหมืองแร่ต้นแม่น้ำซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสารพิษ โดยขณะนี้ปัญหาสารพิษในแม่น้ำได้ส่งผลกระทบด้านสุขภาพจิต เพราะทุกคนต่างวิตกกังวลและเป็นความเครียดสะสม บางคนเป็นโรคซึมเศร้า เพราะหาทางออกไม่ได้ เนื่องจากแม่น้ำกลายเป็นแม่น้ำพิษ โดยมีข้อเสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์การตรวจสอบ
ผู้แทนภาคประชาชนทั้งหมดยังไม่เห็นด้วยกับการสร้างฝายดักตะกอน โดย น.ส.จุฑามาศ ราชประสิทธิ์ มูลนิธิ พชภ. กล่าวว่าโครงการฝายดักตะกอนแม่น้ำกก ทราบว่าขณะนี้ได้รับอนุมัติแล้ว งบประมาณไม่ต่ำกว่า 7 พันล้านบาท ซึ่งจะมีการประชุมชาวบ้านแล้วเริ่มก่อสร้างทันทีซึ่งถือว่าเสี่ยงมากเนื่องจากยังไม่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยอ้างว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ไม่มีการพิจารณาทางเลือกอื่นๆ ในการแก้ปัญหามลพิษครั้งนี้ และกรมป่าไม้เองก็ยอมทำข้อตกลงพิเศษให้ใช้พื้นที่
ทส.จังหวัดเชียงราย กล่าวว่ามีพืชบางชนิดกินสารหนูได้ เราควรใช้พืชเหล่านี้ได้หรือไม่ ควรเอาธรรมชาติมาแก้ไขธรรมชาติ ไม่ใช่เอาวิทยาศาสตร์มาแก้ไขธรรมชาติ
ทั้งนี้ในช่วงท้าย กสม.ได้มีการนำข้อเสนอส่งให้รองผู้ว่าราชการเชียงรายเพื่อดำเนินการต่อไป
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ภาคประชาชนไม่เห็นด้วยสร้างฝายดักตะกอนพิษน้ำกก ชี้ทำลายบ้านปลา ชงรัฐบาลตั้งศูนย์ตรวจมลพิษ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th