รัฐบาลทหารเมียนมาทุ่มจ้างล็อบบี้ยิสต์ เพื่อฟื้นฟูสัมพันธ์กับสหรัฐ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ว่า บริษัทดีจีไอกรุ๊ป ซึ่งเป็นหนึ่งในล็อบบี้ยิสต์ของสหรัฐ ยื่นเอกสารต่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ เมื่อวันที่ 1 ส.ค. เพื่อขึ้นทะเบียนตัวแทนต่างชาติตามกฎหมายตัวแทนต่างชาติของสหรัฐ (ฟารา) ว่าบริษัทบรรลุข้อข้อตกลงมูลค่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 97.02 ล้านบาท) เป็นเวลาหนึ่งปี กับกระทรวงข่าวสารเมียนมา เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ที่ผ่านมา ในการดำเนินการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐ
ทั้งนี้ ดีจีไอ กรุ๊ป จะให้บริการด้านกิจการสาธารณะกับลูกค้า เกี่ยวกับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างเมียนมากับสหรัฐ "เน้นที่การค้า การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรม" และเอกสารลงนามโดยผู้บริหารสองคนของดีจีไอ กรุ๊ป คือ นายจัสติน ปีเตอร์สัน และนายไบรอัน แมคเคบ โดยปีเตอร์สันเคยทำงานให้กับรัฐบาลสมัยแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วย
ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐและกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ปฏิเสธให้ความเห็นอย่างเป็นทางการ ว่าความเคลื่อนไหวของดีจีไอ กรุ๊ป จะส่งผลกระทบต่อมาตรการคว่ำบาตรหลายส่วนที่สหรัฐยังคงบังคับใช้ฝ่ายเดียวกับรัฐบาลทหารเมียนมาอย่างไร
อนึ่งกระทรวงการคลังสหรัฐออกแถลงการณ์ เมื่อปลายเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ถอนชื่อบริษัทและนักธุรกิจหลายคนซึ่งมีความใกล้ชิดกับรัฐบาลทหารเมียนมา ออกจากบัญชีรายชื่อการคว่ำบาตร ได้แก่ บริษัท “เคที เซอร์วิสเซส แอนด์ โลจิสติกส์” และนายโจนาธาน มโย จอ ต่อง ผู้ก่อตั้ง, บริษัท “เอ็มซีเอ็ม กรุ๊ป” และนายอ่อง หล่าย อู ผู้ก่อตั้ง และบริษัท “ซันแทค เทคโนโลยีส์” และนายซิต แต่ง อ่อง ผู้ก่อตั้ง นอกจากนี้ ยังมีอีกบุคคลหนึ่ง คือนายติน ลัต มิน
ปัจจุบัน เมียนมาเป็นแหล่งแร่ธาตุหายากที่สำคัญของโลก ซึ่งมีความต้องการสูงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงด้านการทหารและสินค้าอุปโภคบริโภค โดยการจัดหาวัตถุดิบประเภทนี้ ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาลสหรัฐชุดปัจจุบัน ในการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์กับจีน ซึ่งควบคุมกำลังการผลิตแร่ธาตุหายากถึง 90% ของโลก.
เครดิตภาพ : AFP