“Global Infrastructure” โชว์ผลงานครึ่งปีแรก “สุดปัง” เฉลี่ย +11.82%... ชี้ “สินทรัพย์ทางเลือก” ที่น่าสนใจ รับวงจร “ดอกเบี้ยขาลง” !!!
Wealthy Way: รู้หรือไม่?…ครึ่งแรกปี25 กองทุน “Global Infrastructure” สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงถึง +11.82% มาเป็น “อันดับ3” รองจากกลุ่ม “กองทุนทองคำ” ที่ +22.62% และ “Country Focus Equity” +12.62% ตามลำดับ
การกลับมาของ “Global Infrastructure” ถือว่า “เซอร์ไพรส์” ตลาดอยู่พอสมควร แม้จะทราบดีว่า “ดอกเบี้ยขาลง” จะส่งผลดีต่อการลงทุนในกลุ่ม “REIT” & “Infra Fund” ก็ตาม แต่ผลงานที่ทำได้ในช่วงครึ่งปีแรกดีเกินคาดจริงๆ
“Global Infrastructure” ถือเป็นอีก “สินทรัพย์ทางเลือก” ที่น่าสนใจ แม้ที่ผ่านมาอาจจะถูกลืมไปบ้างก็ตาม แต่เชื่อว่าหลังจากนี้จะกลับมาอยู่ในเรดาร์ของนักลงทุนทั่วโลกอีกครั้งอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงที่ดอกเบี้ยทั่วโลกยังอยู่ในแนวโน้ม “ขาลง” เช่นนี้
วันนี้ ทีมงาน ‘Wealthythai’ มีความเคลื่อนไหวของ “Global Infrastructure” ที่น่าสนใจมาฝากกัน
“Global Infrastructure” ผลงานครึ่งปีแรก บวกแรงเฉลี่ย +11.82%…“KKP GINFRAEQ-H-F” แชมป์ผลตอบแทนสูงสุด +15.32% ส่วน “TISCOGIF-R” เงินไหลเข้ามากสุด 149 ล้านบาท
จากข้อมูลของ “บจ.มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย)” ระบุผ่านรายงานว่า ปัจจุบัน กองทุน “Global Infrastructure” มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมประมาณ 7 พันล้านบาท ซึ่งนับว่ามีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับกองทุนกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างเช่น กองทุนหุ้นเทคโนโลยี, กองทุนหุ้นอสังหาริมทรัพย์ หรือ กองทุนหุ้น Health care ที่ล้วนมีขนาดทรัพย์สินเกินกว่า 3 หมื่นล้านบาท ทั้งหมด
แม้ว่าในปีนี้กองทุน “Global Infrastructure” จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 11.82% แต่เม็ดเงินของนักลงทุนในกองทุนกลุ่มนี้ยังคงอยู่ในระดับติดลบกว่า 680 ล้านบาท และมีเม็ดเงินลงทุนที่ค่อนข้างเบาบางตลอดช่วงที่ผ่านมา
สำหรับกอง “Global Infrastructure” ทั้งหมด 26 กอง ปีนี้ทำผลตอบแทนเฉลี่ย +11.82% (ดีสุด +15.32%, แย่สุด 0.83%) โดยทั้งหมด 100% มีผลตอบแทนเป็น “บวก”
สำหรับ 5 “Global Infrastructure” ที่มีผลงาน “ดีสุด” ปีนี้ (ไม่นับรวมชนิดหน่วยลงทุนของกองทุนหลักเดียวกัน) ทำผลตอบแทนได้เฉลี่ย +14.34%ได้แก่
1) “KKP GINFRAEQ-H-F” ของบลจ.เกียรตินาคินภัทร+15.32%
2) “ES-GINFRA-D” ของบลจ.อีสท์สปริง+14.83%
3) “PRINCIPAL GIF” ของบลจ.พรินซิเพิล+14.21%
4) “K-GINFRA-C(A)” ของบลจ.กสิกรไทย+14.16%
5) “B-GLOB-INFRA” ของบลจ.บัวหลวง+13.16%
ส่วน 5 “Global Infrastructure” ที่มีเงินไหลเข้าสุทธิ “มากสุด” ครึ่งแรกปีนี้ ประกอบด้วย
- “TISCOGIF-R” ของบลจ.ทิสโก้149 ล้านบาท
- “UINFRA-N” ของบลจ.ยูโอบี120 ล้านบาท
- “K-GIFRMF” ของบลจ.กสิกรไทย20 ล้านบาท
- “K-GINFRA-C(A)” ของบลจ.กสิกรไทย15 ล้านบาท
- “ES-GINFRA-D” ของบลจ.อีสท์สปริง11 ล้านบาท
“Global Infrastructure” ทางเลือกในการ “กระจายความเสี่ยง”…สร้างรายได้ “สม่ำเสมอ” ในระยะยาว
สำหรับ “Infrastructure” หรือ “โครงสร้างพื้นฐาน” นั้นเปรียบเสมือนรากฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะเกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภคที่สำคัญในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน, คมนาคม, ดิจิทัล โดยหากอ้างอิงจาก“Morningstar Global Equity Infrastructure Index” ธุรกิจในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานมีการกระจายตัวอยู่ถึง 18 อุตสาหกรรม ภายใต้ 5 หมวดธุรกิจหลัก ประกอบด้วย
- Social
- Energy
- Utilities
- Transportation & Infrastructure
- Communication & Telecom Assets
“การลงทุนในธุรกิจ ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ มีจุดเด่นที่น่าสนใจในด้านรายได้ที่มั่นคงและสม่ำเสมอ เพราะส่วนใหญ่มีการทำสัญญาในระยะยาว อีกทั้งธุรกิจมักมีลักษณะผูกขาดหรือกึ่งผูกขาด มีผู้เล่นน้อยราย เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนในระดับสูง จึงทำให้การแข่งขันไม่รุนแรงมากนัก”
นอกจากนี้ ปัจจัยส่งเสริมการเติบโตในระยะยาวยังมาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ที่มีการขยายตัวสู่สังคมเมืองเพิ่มมากขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้มีความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศเพิ่มมากขึ้น นักลงทุนหลายรายจึงมีการลงทุนในกองทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ “โครงสร้างพื้นฐาน” เพื่อช่วยเสริมความมั่นคงให้กับพอร์ตลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวน”
“ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ‘Global Infrastructure’ มีการเติบโตของผลตอบแทนที่มีความผันผวนค่อนข้างต่ำกว่ากองทุน ‘Global Equity’ แต่ในระยะยาวยังสามารถสร้างการเติบโตได้ใกล้เคียงกัน ในขณะที่เมื่อเทียบกับกองทุน ‘Global Bond’ นั้น แม้ว่า ‘Global Infrastructure’ จะมีความผันผวนที่สูงกว่า แต่ก็สามารถสร้างการเติบโตของผลตอบแทนได้มากกว่า ‘Global Bond’ อย่างมีนัยสำคัญ”
นอกจากนี้ หากเทียบกับ“จุดขาดทุนสูงสุด” (Maximum drawdown) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า ในช่วงปี22 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น“วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น” นั้น ทั้งกองทุน Global Bond, Global Equity และ Global Infrastructure ล้วนได้รับปัจจัยกดดัน แต่กองทุน ‘Global Equity’ มีการปรับตัวลดลงมากที่สุด ในขณะที่“Global Infrastructure” ปรับตัวลดลงต่ำกว่า ทำให้สามารถฟื้นตัวกลับได้เร็วและมีระดับขาดทุนน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้“Global Infrastructure” เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนได้เป็นอย่างดี
“ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน” มักมีการปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกับ “อัตราดอกเบี้ย” เนื่องจากโดยปกติแล้วโครงสร้างพื้นฐานเป็นธุรกิจที่ต้องมีการลงทุนสูง ต้นทุนทางการเงินจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจ ดังนั้นในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มทรงตัวหรือมีแนวโน้ม “ปรับตัวลดลง” ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานมักมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มปรับลดลงตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนั่นเอง นี่จึงเป็นอีกปัจจัยบวกที่สำคัญหนุนให้กองทุน “Global Infrastructure” กลับมาอยู่ในเรดาร์นักลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต