"THAI" เพิ่มฝูงบิน "จิ๊กซอว์" สู่ Top 20 สายการบินโลก สยายปีก ชูจุดแข็ง Network Airline

เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

“THAI” เพิ่มฝูงบิน “จิ๊กซอว์” สู่ Top 20 สายการบินโลก สยายปีก ชูจุดแข็ง Network Airline

หลังจากที่การบินไทยประสบความสำเร็จในการยกเลิกการฟื้นฟูกิจการฯ ของบริษัทฯ และสามารถกลับเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้อีกครั้งในรอบ 4 ปี แต่นั่นอาจจะไม่ใช่ปลายทางของความสำเร็จ หากเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของช่วงเวลาที่การบินไทยจะต้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งท่ามกลางอุตสาหกรรมที่ท้าทาย ด้วยความท้าทายครั้งใหม่สู่การเติบโตในฐานะ "สายการบินที่คนไทยภาคภูมิใจ"

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)หรือ THAI กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้งในรอบ 4 ปี ด้วยกระแสตอบรับที่น่าประทับใจจากนักลงทุน ราคาหุ้น THAI พุ่งทะยานสู่ระดับ 17.80 บาท (ราคาปิด ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2568) ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่า 5 เท่าตัวจากราคาปิดในการซื้อขายครั้งสุดท้ายที่ 3.32 บาท

ประกอบกับการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากได้ดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยการบินไทยมีรายได้รวมอยู่ที่ 44,828 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 12,124 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการทำกำไรได้ต่อเนื่อง 10 ไตรมาสติดต่อกัน และยังเป็นการทำกำไรสูงที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อนับเฉพาะไตรมาสที่ 2 อีกด้วย

แต่ภารกิจหลังจากนี้ของการบินไทยยังคงมีความท้าทายรออยู่ คุณ ชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผยกับ "TNN Wealth" ถึงภารกิจที่สำคัญของการบินไทยหลังจากนี้ว่า การเพิ่มฝูงบิน หรือการเพิ่ม capacity ให้กับการบินไทย เป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตในอนาคต เนื่องจากในปัจจุบันขนาดฝูงบินของการบินไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่เพียงพอหากเปรียบเทียบกับช่วงก่อนฟื้นฟูกิจการ โดยมีเครื่องบินทั้งหมด 78 ลำ เป็นเครื่องบินที่การบินไทยเป็นเจ้าของ 11 ลำ และเครื่องบินภายใต้สัญญาเช่าจำนวน 67 ลำ

ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบันการผลิต และส่งมอบเครื่องบินของทั้งอุตสาหกรรมก็ถือว่าค่อนข้างตึงตัว ไม่เพียงพอต่อความต้องการของสายการบินต่าง ๆ ทั่วโลก เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่สามารถทำได้คือการปรับปรุงเครื่องบินเก่า ให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องของความสะดวกสบาย และเทคโนโลยีต่าง ๆ

"กำลังการผลิตของเรายังต่ำอยู่ ก็ต้องหาเครื่องบินเข้ามาเสริมทัพ ซึ่งก็ยังยากเพราะว่ามันเป็นเรื่องของอุตสาหกรรมขาดแคลนเครื่องบินไม่ได้เป็นแค่การบินไทยเท่านั้น แต่บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินชั้นนำของโลก ก็ยังไม่สามารถผลิตและส่งมอบเครื่องบินได้ตาม order ที่ได้รับมา ทำให้เครื่องบินเก่า ก็จะเก่าลงไปทุกวันไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องปรับปรุงเครื่องบินเก่าของเรา ในระหว่างที่ เครื่องบินใหม่ยังมาไม่ทัน เพื่อจะตอบโจทย์เรื่องประสบการณ์ของผู้โดยสารและต้องอัปเกรดผลิตภัณฑ์ของเราให้สู้ได้ นี่คือภารกิจที่มีความสำคัญอันดับแรกของเรา " คุณชาย กล่าว

ซึ่งความจำเป็นนี้ คุณชายก็ได้สะท้อนผ่านโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานขนาดใหญ่ หรือ Maintenance, Repair, and Overhaul : MRO ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่สนามบินอู่ตะเภา มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ที่จะสามารถรองรับการซ่อมบำรุงเครื่องบินจากทั้งใน และต่างประเทศ รวมถึงมีเป้าหมายที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซ่อมบำรุงอากาศยานในภูมิภาคอีกด้วย ซึ่งโครงการดังกล่าวจะสามารถเปิดให้ใช้บริการเชิงพาณิชย์ในช่วงกลางปี 2570

"การปรับปรุงภายในเครื่องบิน จะสามารถเริ่มใช้งานได้กลางปี 2570 ซึ่งศูนย์ซ่อม MRO ก็มีข้อจำกัดเรื่องโรงซ่อม และประสิทธิภาพในการอัปเกรด ซึ่งเราไม่สามารถจะทำคนเดียวได้ทั้งหมด ก็จะเป็นการใช้เงินขยายธุรกิจในช่วงสั้น ซึ่งมีการเปิดเผย อยู่ใน หนังสือชี้ชวน (filing) อยู่แล้ว โดยเราก็ได้รับหนังสือจาก EEC แล้ว และได้ยื่นข้อเสนอในการใช้พื้นที่ โดยเรามีความพร้อมในเรื่องการเงิน ทำการศึกษาข้อมูล เสร็จเรียบร้อย แล้วเหลือแต่การออกแบบเจาะลึกในเรื่องของรายละเอียดเท่านั้น" คุณชายกล่าว เพิ่มเติม

ส่งผลให้การบินไทยต้องใช้การเสริมฝูงบินเพิ่มเติมในช่วง 1-2 ปีนี้ ด้วยการเพิ่มฝูงบินตามสัญญาเช่าจำนวน 32 ลำ โดยเป็นเครื่องบิน Airbus A321neo เครื่องบินลำตัวแคบ ซึ่งเป็นเครื่องบินรุ่นที่ใหญ่ที่สุดในตระกูล A320 และโดดเด่นด้วยประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นจากการใช้เครื่องยนต์รุ่นใหม่ โดยจะสามารถรับมอบเครื่องบินดังกล่าวได้ในเดือนมกราคม 2569 จำนวน 2 ลำ และจะสามารถทยอยรับมอบได้ตามแผนอีก 15 ลำ ภายในปี 2569 และฝูงบินที่เหลือก็จะรับมอบในระยะถัดไป

ซึ่งการเพิ่มฝูงบินในกลุ่มนี้ก็จะสามารถตอบโจทย์ในการเพิ่มเส้นทางบินโดยเฉพาะในส่วนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ถือว่ามีความต้องการ และการเติบโตที่สูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของการบินไทยในการเป็นสายการบินเครือข่าย (Network Airline) โดยใช้กรุงเทพมหานครที่ถือว่ามีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค

"Airbus A321neo จะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่มาพร้อมสิ่งอำนวนความสะดวกที่ครบครัน Inflight Entertainment และ WiFi เป็นต้น เพราะฉะนั้นก็จะเป็นพระเอกในระยะสั้นของการบินไทย ซึ่งสามารถตอบโจทย์เรื่องการเจริญเติบโตในเอเชียแปซิฟิกเป็นหลัก เครื่องบินฝูงนี้บินได้ถึง 6 ชั่วโมง ตรงนี้ก็จะตอบโจทย์เรื่อง Network Airline ซึ่งคือจุดแข็งของการบินไทย" คุณชาย กล่าว

ในขณะที่เป้าหมายการเติบโตของการบินไทยหลังจากนี้ คุณชายได้กล่าวเพิ่มเติมว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินในเอเชียแปซิฟิกโดดเด่นเป็นอย่างมาก ซึ่งคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ที่ระดับ 5% สูงกว่าอุตสาหกรรมทั่วโลกที่เติบโตได้ราว 4% ซึ่งถ้าหากการบินไทยต้องการที่จะเติบโตให้อยู่ในระดับเดียวกับอุตสาหกรรม ก็จำเป็นที่จะต้องเพิ่มศักยภาพในเรื่องของฝูงบิน ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินในเส้นทางบินที่มีศักยภาพ และความต้องการสูง หรือการเพิ่มเส้นทางบินใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยในปีหน้าด้วยการเพิ่มฝูงบินของการบินไทย ก็อาจจะทำได้ในระดับที่ 1-2% เท่านั้น อาจจะต้องใช้เวลาในการรอฝูงบินใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งนอกเหนือจากการเพิ่มฝูงบิน A321neo จำนวน 32 ลำแล้ว การบินไทยมีแผนที่จะเพิ่มฝูงบินอีก 45 ลำ ซึ่งเป็นแผนที่มีการกำหนดไว้ตั้งแต่ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นเครื่องบิน Boeing787 ซึ่งมีการลงนามคำสั่งซื้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมตัวเลือกในการจัดซื้อเพิ่มเติมได้สูงสุดถึง 80 ลำ

ซึ่งก็เป็นเหมือนหัวใจสำคัญของการเติบโตของการบินไทยในอนาคต และเมื่อกล่าวถึงเป้าหมายในระยะยาวของการก้าวขึ้นมาติดอันดับ 20 สายการบิน ที่มีรายได้สูงที่สุดในโลก คุณชายได้แสดงความคิดเห็นในส่วนนี้ว่าเป็นเรื่องที่มีโอกาสเป็นไปได้ ถ้าการขยายฝูงบิน และการเดินหน้าโครงการ MRO เป็นไปตามแผน การบินไทยยังมีโอกาสอีกมากในการเติบโตทั้งในระดับภูมิภาค และระดับสากล ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 65 ปี คุณภาพ และการให้บริการที่ประทับใจ สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยในสายตาชาวโลก และที่สำคัญคือฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น การปรับโครงสร้างทางการเงินต่าง ๆ ส่งผลให้การบินไทยคล่องตัว เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้สูงขึ้นได้

ส่วนประเด็นที่หลาย ๆ คนตั้งคำถามเกี่ยวกับการลงทุนของการบินไทยในอนาคต ว่าอาจจะทำให้การบินไทยกลับไปเผชิญปัญหาเรื่องต้นทุน เหมือนในอดีตที่ผ่านมาอีกหรือไม่ คุณชายได้กล่าวว่า การลงทุน โดยเฉพาะการซื้อเครื่องบินใหม่ 45 ลำ จะมีการประเมินถึงความเหมาะสมของรูปแบบการลงทุน และแหล่งที่มาของเงินลงทุน ว่าซื้อเองเท่าไหร่ ใช้เงินกู้เท่าไหร่ หรืออาจจะใช้เป็นสัญญาเช่าหรือไม่ ก็ต้องไปตัดสินใจครั้งหนึ่งว่ามีกระแสเงินสดเพียงพอ ที่จะลงทุนแบบทางเลือกไหน ซึ่งก็ยังมีเวลาพอสมควรในการตัดสินใจ ซึ่งอยากให้มั่นใจว่าการบินไทยจะเลือกทางเลือกที่ดี และเหมาะสมที่สุดอย่างแน่นอน

"มีเงินสด คนก็จะถามว่าทำไมไม่จ่ายหนี้ก่อน อธิบายแบบนี้ว่าไม่สามารถทำได้เพราะเราต้องทำตามแผนฟื้นฟูกิจการฯ ถึงแม้เราจะยกเลิกการฟื้นฟูฯ แล้วแต่เรายังต้องยึดกระบวนการการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการฯอยู่ เราจะจ่ายได้ก็ต่อเมื่อเรามีกระแสเงินสดเพียงพอ หลังจากการลงทุน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนแล้ว ส่วนเรื่องต้นทุน กลัวว่าการบินไทยจะควบคุมต้นทุนไม่ได้เหมือนที่ผ่านมา ไตรมาส 2 เป็นการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าเราควบคุมต้นทุนได้ เรามีกำไรไตรมาสที่ 10 ต่อเนื่องแล้ว ซึ่งโดยปกติไตรมาส 2 เนี่ยเราจะขาดทุน หรือกำไรเล็กน้อย เพราะมันเป็น Low season เราก็พยายามจะกระตุ้นภายในเราเองว่าต้องสู้ด้วยจุดแข็งของเราที่มีเยอะแยะมากมาย" คุณชาย กล่าว

ถึงแม้ว่าการยกเลิกการฟื้นฟูฯ ได้สำเร็จ และกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง ด้วยกระแสตอบรับที่ดีเกินความคาดหมาย แต่ก็ยังมีอีกหลายภารกิจที่การบินไทยต้องทำให้สำเร็จ หลังจากนี้เส้นทางของการบินไทยก็ยังคงมีความท้าทายในอีกหลายด้าน ซึ่งก็จะต้องติดตามกันอย่างต่อเนื่อง ด้วยบทพิสูจน์ถึงศักยภาพที่แท้จริงของการบินไทยในการก้าวขึ้นไปอยู่บนเวทีโลกในฐานะ "สายการบินที่คนไทยภาคภูมิใจ"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง