สศช. ชี้บริษัทไทยกว่า 25% ลดพนักงาน หันจ้างพาร์ทไทม์-สัญญาจ้าง
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. เปิดเผยรายงานภาวะสังคมไทย ไตรมาส 2 ปี 2568 ระบุว่า จากผลสำรวจของ Jobsdb ปี 2567 พบว่า การจ้างงานรูปแบบพาร์ทไทม์และสัญญาจ้างมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยพนักงานประจำไม่เต็มเวลาจาก 6% ในปี 2565 เพิ่มเป็น 42% ในปี 2567 ส่วนพนักงานสัญญาจ้าง/ชั่วคราวไม่เต็มเวลาจาก 4% เพิ่มขึ้นเป็น 28% ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งสะท้อนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ และอาจกระทบสิทธิแรงงานอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ สศช. ยังเฝ้าติดตามผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งไทยถูกจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้สูงถึง 19% รวมทั้งมีมาตรการเข้มงวดด้านแหล่งกำเนิดสินค้า ทำให้สินค้าไทยเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ซึ่งอาจกระทบการจ้างงานและชั่วโมงทำงานของแรงงานไทยอย่างต่อเนื่อง
รายงานยังระบุถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างด้าว โดยมีแรงงานกว่า 388,000 คนไม่ต่ออายุใบอนุญาตทำงาน ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาดำเนินมาตรการดึงแรงงานกลับประเทศ ส่งผลให้ภาคการผลิต การก่อสร้าง และเกษตรกรรมเผชิญความเสี่ยงสูงขึ้น แม้ ครม. จะอนุมัติการนำเข้าแรงงานจากประเทศอื่น เช่น ศรีลังกา เนปาล ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เข้ามาทดแทนก็ตาม
สำหรับภาพรวมการจ้างงานในไตรมาส 2 ปี 2568 มีผู้มีงานทำทั้งสิ้น 39.5 ล้านคน ขยายตัวเพียง 0.02% จากปีก่อน โดยสาขานอกภาคเกษตรกรรมขยายตัวเล็กน้อย 0.4% นำโดยการขนส่งและคลังสินค้า (7.9%) โรงแรมและภัตตาคาร (3.1%) และการผลิต (0.5%) ขณะที่สาขาการก่อสร้างและค้าปลีก/ค้าส่งหดตัวลง ส่วนการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่อง 0.9% โดยเฉพาะในภาคเหนือ
ด้านค่าจ้างแรงงาน ภาคเอกชนและแรงงานในระบบปรับเพิ่มขึ้น 2.4% และ 2.5% ตามลำดับ แต่โดยรวมลดลง 1.9% ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงเหลือ 0.91% มีผู้ว่างงานประมาณ 370,000 คน อย่างไรก็ดี ผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้น 5.2% หรือกว่า 2.1 ล้านคน
สศช. สรุปว่า ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างแรงงานและความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก ภาครัฐจำเป็นต้องออกมาตรการสนับสนุนตลาดใหม่ ปกป้องสินค้าไทย ตรวจสอบสิทธิแรงงาน และเสริมสร้างความปลอดภัยในการทำงาน เพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ