เศรษฐกิจ – ตลาดหุ้นไทย จะเป็นอย่างไรต่อ? หลังทรัมป์เคาะภาษีตอบโต้ 19% สินค้าสวมสิทธิ์อีก 40%
หัวข้อในเนื้อหานี้
- ‘กสิกรไทย-ทิสโก้’ ปรับประมาณการ GDP ไทยปีนี้ทันที
- SCB EIC เตรียมปรับเพิ่มประมาณการ GDP
- ‘บุรินทร์’ คาดไทยอาจรอด Technical Recession
- อัตราภาษีที่ 19% ‘ถือว่ายังสูง’ เพิ่มจากเดิมเกือบ 10 เท่า
- ภาษี Transshipment 40% ตัวเปลี่ยนเกมภาคการผลิตไทย
- การเปิดตลาด (Market Access) เพิ่มให้สหรัฐฯ อาจไม่กระทบมาก
- ‘ศิริกัญญา’ แนะรัฐเปิดเงื่อนไข-รายละเอียดข้อตกลงโดยเร็ว
- ฟันธง. กนง. รอบสุดท้าย ผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิ คงดอกเบี้ยทิ้งทวน
- มองสหรัฐฯ ประกาศภาษีนำเข้า 19% เป็นข่าวดีกับตลาดทุนไทย
- ก.ล.ต. ชี้หุ้นไทยผันผวนลดลง หลังภาษีทรัมป์ชัดเจน
สหรัฐฯ ประกาศปรับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากคู่ค้าเกือบทั้งหมดของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 สิงหาคม โดยกำหนดภาษีตอบโต้ ‘ไทย’ ที่อัตรา 19% และกำหนดอัตราภาษีสินค้าผ่านทาง (Transshipment) ในอัตรา 40% นับว่าเป็นผลดีต่อไทยในระยะสั้น เห็นได้จากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจต่างๆ พากันปรับขึ้นประมาณการ GDP ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ข้อตกลงนี้อาจยังเป็นความท้าทายของภาคการผลิตของไทยอยู่ เนื่องจากตามข้อตกลงไทยจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มจนดุลการค้าไทยและสหรัฐฯ เข้าสู่สมดุลในที่สุด นอกจากนี้ อัตราภาษีตอบโต้ที่ 19% ซึ่งเพิ่มจากระดับเดิมเกือบ 10 เท่า ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการจะปรับตัวไม่ทัน
‘กสิกรไทย-ทิสโก้’ ปรับประมาณการ GDP ไทยปีนี้ทันที
วันที่ 1 สิงหาคม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ได้ประกาศปรับขึ้น GDP ไทยปี 2025 ทันที จาก 1.4% มาสู่ระดับ 1.5% เนื่องจากมองว่า อัตราภาษี Reciprocal tariff ที่ดีขึ้นและแข่งขันได้ ปรับมุมมองการส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ดีขึ้นกว่าเดิม โดยคาดว่า ส่งออกครึ่งปีหลังจะ -7.4% YoY เท่านั้น จากประมาณก่อนหน้านี้คาดว่าจะ -10% YoY
อย่างไรก็ดี KResearch ยังเตือนว่า เศรษฐกิจไทยเผชิญปัจจัยกดดันที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณที่อาจต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้
โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2568 คาดว่าจะลดลงจากประมาณการเดิมมาอยู่ที่ราว 32.2 ล้านคน ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 5 ปี จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ยังคงไม่กลับมา
ขณะที่ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ก็ปรับขึ้นประมาณการ GDP ไทยปี 2568 จาก 1.6% เป็น 1.9% และปี 2569 จาก 1.4% เป็น 1.6% หลังข่าวไทยปิดดีลภาษีทรัมป์ที่อัตรา 19% ต่ำกว่าระดับเดิมที่อาจสูงถึง 36%
โดยเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ยังเตือนว่า ในระยะต่อไป ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ อาทิ สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ข้อพิพาทชายแดนกับกัมพูชา และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิดต่อไป
SCB EIC เตรียมปรับเพิ่มประมาณการ GDP
ด้านดร ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยด้านเศรษฐกิจและตลาดการเงิน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า SCB EIC เตรียมปรับประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้สูงขึ้น จากปัจจัย 3 ประการ ได้แก่
- มูลค่าการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปีเติบโตสูงถึง 15% มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากมีการเร่งส่งสินค้าล่วงหน้า (Front Loading) ก่อนที่ภาษีมีผลบังคับใช้
- สหรัฐฯ เลื่อนเส้นตายภาษีออกไป มาเป็นวันที่ 7 สิงหาคม แทน ทำให้ไทยมีเวลาเว้นภาษีนานขึ้น
- ไทยถูกเรียกเก็บอัตราภาษี 19% ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพราะแต่เดิมแล้ว SCB EIC ประเมินไว้ว่า ไทยจะได้รับภาษีในอัตรา 23% โดยพิจารณาจากการนำ Universal Tariff 10% มารวมกับ Reciprocal Tariff 36% แล้วนำมาหารครึ่ง
‘บุรินทร์’ คาดไทยอาจรอด Technical Recession
ขณะที่ บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยในรายการ Morning Wealth ว่า ความเสี่ยงที่ไทยอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) ในครึ่งหลังของปีนี้มีน้อยลง
โดยประเมินว่า การเติบโตของ GDP ไทย QoQ ในไตรมาสที่ 3 – 4 ของปี 2025 อาจขยายตัวราว 0% หรือ บวกลบ ไปจากระดับนี้เล็กน้อย หลังสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) ใหม่ต่อไทย ในอัตราที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับ 36% มาอยู่ที่ 19% ใกล้เคียงกับภูมิภาคอาเซียน
“โดยรวมเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังคงแย่ลง แต่คงไม่แย่เท่าที่คาดไว้ก่อนหน้า ตอนนี้คงเหลือความหวังไว้ที่การท่องเที่ยวแล้วว่า จะสามารถฉุด GDP ไทยขึ้นมาได้หรือไม่” บุรินทร์ กล่าว
อัตราภาษีที่ 19% ‘ถือว่ายังสูง’ เพิ่มจากเดิมเกือบ 10 เท่า
เมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวว่า อัตราภาษีที่ 19% ถือว่ายังสูงกว่าระดับเดิมที่ไทยเคยเสียภาษีเฉลี่ยเพียง 2% และเพิ่มขึ้นเป็น 10% หลังสหรัฐฯ ผ่อนผันการจัดเก็บภาษีตอบโต้ ออกไป ดังนั้น อัตราภาษีที่ 19% ถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นมาเกือบ 10 เท่าจากเดิมที่ผู้ประกอบการไทยแทบไม่เสียภาษีเลย ซึ่งหมายความว่าผู้ประกอบการไทยจะเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้น และอาจกระทบต่อยอดการส่งออกในระยะถัดไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่ ดร. ฐิติมา ชี้ว่าเมื่อไทยมีอัตราภาษีใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งและประเทศเพื่อนบ้าน ความกังวลเกี่ยวกับความได้เปรียบ-เสียเปรียบ ของอัตราภาษีที่ต่างกันในแต่ละประเทศจึงหมดไป อย่างไรก็ตาม ดร. ฐิติมา ชี้ว่า อัตราภาษี 19% ก็ยังเป็นอัตราที่สูงกว่าเดิมที่ไม่เคยมีการเรียกเก็บ สิ่งที่ไทยควรโฟกัสต่อจากนี้คือการเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดต้นทุนสินค้าเพื่อรับมือกับอัตราภาษีที่สูงขึ้น หรือแม้แต่การกระจายตลาดหาโอกาสใหม่ ๆ
ภาษี Transshipment 40% ตัวเปลี่ยนเกมภาคการผลิตไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ประเมินอีกว่า อัตราภาษีสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บในอัตรา 40% คาดว่าจะส่งผลให้การนำเข้าสินค้าเพื่อ Re-export ไปยังตลาดสหรัฐฯ ผ่านไทยซึ่งก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในประเทศต่ำนั้นมีแนวโน้มชะลอลง
ดังนั้น หากเกิดการบังคับใช้มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local content) อย่างจริงจังที่อาจช่วยลดแรงกดดันต่อภาคการผลิตไทยได้
นอกจากนี้ ภาษีนำเข้าฯ ของไทยเทียบกับภูมิภาคที่ไม่แตกต่างกัน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานในการตัดสินใจลงทุนมากขึ้น
อย่างไรก็ดี การไหลเข้ามาของสินค้านำเข้าจากจีนเพื่อบริโภคในประเทศคาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ภาคการผลิตในปีนี้คาดว่าจะยังหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
การเปิดตลาด (Market Access) เพิ่มให้สหรัฐฯ อาจไม่กระทบมาก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ภายใต้ข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ไทยต้องยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ราว 90% ของสินค้าทั้งหมด รวมถึงลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีลงนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การเปิดตลาดนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ อาจไม่ทำให้สินค้าสหรัฐฯ ไหลบ่าเข้ามาในไทยมากอย่างที่กังวล เนื่องจาก
- สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มีอัตราภาษี Most Favoured Nation Treatment (MFN) เป็น 0% อยู่แต่เดิม
- สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ไทยไม่สามารถผลิตได้ หรือผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการในประเทศ เช่น เครื่องมือแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์บางรายการที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง อีกทั้งขึ้นอยู่กับความสามารถทางการแข่งขันด้านต้นทุนของสินค้าสหรัฐฯ ในแต่ละอุตสาหกรรม สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หลายรายการอาจมีต้นทุนสูงกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้านำเข้าจากตลาดอื่นโดยเฉพาะตลาดที่ไทยมี FTA อยู่แต่เดิม
- อย่างไรก็ตาม หากไทยต้องเพิ่มโควต้านำเข้าสินค้าพลังงานและเกษตรจากสหรัฐฯ อาทิ สินค้าเกษตรอย่างถั่วเหลือง ข้าวโพด รวมถึงเนื้อสัตว์ คาดว่าจะกระทบเกษตรกรรายย่อย และในบางกรณีจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้น และอาจจะส่งผ่านมายังเงินเฟ้อในระยะถัดไป ทั้งนี้ ยังต้องติดตามความชัดเจนของการเปิดตลาดสินค้าเกษตรในรายละเอียด รวมถึงมาตรการเยียวยาจากภาครัฐ
บุรินทร์กล่าวว่า การเปิดตลาด (Market Access) ให้สหรัฐฯ มากขึ้นไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อ GDP ของไทยมากนัก ยกเว้นในกรณีที่สินค้าของสหรัฐฯ เข้ามาดิสรัปต์ตลาด
อย่างไรก็ตาม “หลายสินค้าเราก็เปิดตลาดให้ทั้งญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และจีนอยู่แล้ว ดังนั้นผลกระทบด้านการนำเข้าอาจไม่ได้มาก การเปิดตลาดกับสหรัฐฯ จึงเป็นการดิสรัปต์สินค้าจากประเทศอื่นมากกว่า” บุรินทร์กล่าว
‘ศิริกัญญา’ แนะรัฐเปิดเงื่อนไข-รายละเอียดข้อตกลงโดยเร็ว
ศิริกัญญา ตันสกุล สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ระบุว่า รัฐบาลต้องเร่งรัดเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับข้อตกลงโดยเร็ว
โดยชี้ว่า “เงื่อนไขต่างๆ จำเป็นต้องมีการรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร ผู้ประกอบการอื่นๆ ด้วย เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ เพราะเรื่องการตกลง การลงทุน การค้าต่างๆ ที่อาจเกิดผลกระทบอย่างมหาศาล ในระบบเศรษฐกิจจำเป็นที่จะต้องให้มีการรับฟังความเห็น อย่างมากที่สุดก็ต้องผ่านรัฐสภาให้ความเห็นชอบ”
“สินค้า 0% ส่วนตัวคิดว่า ทางรัฐบาลคงจะระมัดระวังอย่างที่สุด เพื่อให้เกิดผลกระทบกับคนในประเทศน้อยที่สุด แต่เรายังไม่ทราบอยู่ดีว่า 90% ของสินค้าทั้งหมดที่ไปเปิด 0% มีอะไรบ้าง เช่น ปลานิล จริงๆ ก็มีชื่อว่า ทิลาเพีย ไม่ได้มีแค่ปลานิลอย่างเดียว อาจจะรวมถึงปลาทับทิมหรือปลาอื่นๆ ในวงศ์นั้นด้วย ซึ่งต้องมาตรวจสอบรายละเอียดกันอีกครั้ง หากเป็นพิกัดศุลกากรของทิลาเพียนี้ จะมีสินค้าตัวไหนที่กระทบกับปลาภายในประเทศบ้าง” ศิริกัญญากล่าว
ฟันธง. กนง. รอบสุดท้าย ผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิ คงดอกเบี้ยทิ้งทวน
บุรินทร์คาดว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ ธปท. น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม เนื่องจากจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของ ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน ท่ามกลางท่าที (Stance) ของธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปมากนัก
อย่างไรก็ตาม หลังจาก วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง บุรินทร์คาดว่า จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ เนื่องจาก ผู้ว่าการคนใหม่น่าจะให้ความสำคัญกับปัญหาภายในประเทศมากขึ้น เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือน และกำลังซื้อในประเทศที่ยังอ่อนแอ
“ท่าทีของแบงก์ชาติน่าจะเปลี่ยนจาก ‘Wait and see’ ไปเป็นการลดดอกเบี้ยเป็นซีรีส์มากขึ้น จนกว่าจะเริ่มเห็นผล” บุรินทร์กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ TISCO ESU ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% ในการประชุมวันที่ 13 สิงหาคม 2568 นี้ เนื่องจากพื้นที่ในการดำเนินนโยบายมีจำกัด หลังจากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยไปแล้วรวม 0.75% ในช่วงที่ผ่านมา และอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ค่อนข้างสอดคล้องกับสมมุติฐานของธปท.
อย่างไรก็ตาม เมธัส ยังประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงอีกในช่วงปลายปี ไปอยู่ที่ 1.25% ในปีนี้ โดยอาจเกิดขึ้นในการประชุม 2 ครั้งสุดท้ายในเดือนตุลาคมและเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ วิทัย รัตนากร จะเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
กระนั้น ดร. ฐิติมา มองว่า มีโอกาสที่กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ ก่อนจะลดอีก 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ “คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (กนง.) คาดว่า จะมีมติลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งปีนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 1.25%” ดร. ฐิติมากล่าว
มองสหรัฐฯ ประกาศภาษีนำเข้า 19% เป็นข่าวดีกับตลาดทุนไทย
อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มองว่า การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีนำเข้าในสินค้านำเข้าจากที่ 19% ที่อัตรา ถือเป็นข่าวดีสำหรับตลาดทุนไทย เนื่องจากเป็นการสร้างความชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องการมากที่สุด และอัตราภาษีดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบคู่แข่งในภูมิภาค
ทั้งนี้มีความเห็นว่า ผลกระทบทางตรงต่อบริษัทจดทะเบียนของไทยมีไม่มากนัก เนื่องจากตัวเลขการส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยตรงคิดเป็นสัดส่วนเพียงไม่ถึง 2% ของรายได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามรายละเอียดของผลกระทบทางอ้อมเพิ่มเติมในอนาคต
ส่วนโครงการ โครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน หรือ (JUMP+) ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดหลักทรัพย์ อัสสเดช คงสิริ เชื่อว่าการประกาศอัตราภาษีของสหรัฐฯ จะไม่ส่งผลกระทบต่อโครงการมากนัก เพราะบริษัทที่แสดงความสนใจมีจำนวนมาก และรายได้ส่วนใหญ่ไม่ได้พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยตรง
เมื่อสื่อข่าวถาม พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีเรียกนัดหมายหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้าไปหารือเพื่อประเมินผลกระทบภาษีสหรัฐฯ ที่ประเทศถูกเรียกจัดเก็บหรือ อัสสเดช ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการนัดหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่คาดว่ามีโอกาสที่มีการหารือร่วมกันในอนาคต
ก.ล.ต. ชี้หุ้นไทยผันผวนลดลง หลังภาษีทรัมป์ชัดเจน
พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงาน ก.ล.ต. เปิดเผยว่า หลังจากไทยบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ในเรื่องของภาษีนำเข้า เชื่อว่าความแน่นอนและความผันผวนในตลาดหุ้นไทยจะลดลง
“ในตลาดทุนเมื่อมีความไม่แน่นอนจะมีความผันผวนและความเสี่ยงสูงขึ้น เป็นปัจจัยกดดันและน่ากังวลสำหรับการตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะกับนักลงทุนรายย่อย สถาบัน หรือต่างชาติ” พรอนงค์กล่าว
ทั้งนี้ การบรรลุข้อตกลงด้วยอัตราภาษี 19% เชื่อว่าเป็นตัวเลขที่อยู่ในการคาดการณ์ของหลายฝ่าย และหากมองเทียบกับประเทศใกล้เคียง โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคที่มีโครงสร้างการส่งออกสินค้าและบริการใกล้เคียงกัน ถือว่าเป็นข้อตกลงที่เราไม่ได้เสียเปรียบ
พรอนงค์กล่าวต่อว่า แน่นอนว่าบางกลุ่มอุตสาหกรรมย่อมได้รับผลกระทบมากกว่า ต้องอาศัยการปรับตัวและสนับสนุนเพิ่มเติมจากภาครัฐ
ในฝั่งของตลาดทุนหลังจากนี้ต้องดึงจุดแข็งด้านอื่นๆ ขึ้นมา เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ในมุมของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติ เชื่อว่าการปลดล็อกเรื่องภาษีจะช่วยให้ความกังวลคลี่คลายไปได้
“หากดูกระแสเงินทุนต่างชาติช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นบวกราว 1.6 หมื่นล้านบาท ทำให้ performance ของตลาดดีขึ้นกว่า 10%”
ภาพ:esfera / Shutterstock