คลังชี้ทุบศก.หมื่นล้าน หั่นภาษีทรัมป์ทัน1ส.ค.
"พิชัย" ประเมินเหตุขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชากระทบเศรษฐกิจหมื่นล้านบาท รับงบกระตุ้น 2.5 หมื่นล้านอาจไม่พอ จ่อดึงงบส่วนอื่นมาเติม ยันสหรัฐปลดล็อกเดินหน้าเจรจาภาษีต่อ มั่นใจข้อเสนอดูดีทันเส้นตาย 1 ส.ค. สมาคมแบงก์เร่งประสาน กกร.- ธปท.-สภาพัฒน์-คลัง ออกมาตรการระยะสั้น-ระยะยาว ปลุก ศก.ใน 1 เดือน
เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งเก็บข้อมูลเพื่อประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ยืดเยื้อยาวนานขนาดไหน หากประเมินในเบื้องต้นตั้งแต่เริ่มมีการโยกย้ายหรืออพยพคน สถานการณ์น่าจะดำเนินมาหลักสัปดาห์ ดังนั้นหากประเมินแบบเร็วๆ โดยไม่นับผลกระทบทางการค้า น่าจะอยู่ที่ราว 1 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจุบันรัฐบาลยังมีงบในการกระตุ้นเศรษฐกิจเหลือ 4.2 หมื่นล้านบาท จากวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการจัดสรรไปแล้ว 1.15 แสนล้านบาท โดยวงเงินที่เหลือนั้นเบื้องต้นมีการจัดสรรไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจะเหลืออีกราว 2.5 หมื่นล้านบาทที่จะสามารถนำมารองรับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาได้ แต่เบื้องต้นมองว่าอาจจะยังไม่เพียงพอ ดังนั้นคงต้องมีการดึงงบประมาณในส่วนอื่นเข้ามาเสริมด้วย
“ผมต้องรวบรวมเอางบมาใช้ ซึ่งรวมถึงงบกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย เพราะจากสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จะต้องมีการก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้านเรือนอีกเยอะมาก ดังนั้นงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีอยู่ 2.5 หมื่นล้านบาทอาจจะไม่พอ ก็อาจจะต้องเอางบที่อื่นมาช่วยด้วย ส่วนถามว่าจะต้องมีการกู้เงินเพิ่มหรือไม่ เบื้องต้นยังไงก็ต้องใช้เงินตามกรอบงบประมาณ ส่วนการกู้เงินก็ต้องกู้ตามแผนของงบประมาณด้วยเช่นกัน” นายพิชัยระบุ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาขณะนี้เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น แม้ว่าอาจจะยังมีการยิงต่อสู้กันอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าหลังจากนี้สถานการณ์จะค่อยๆ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นแน่นอน
นายพิชัยยังกล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีนำเข้ากับสหรัฐอเมริกาว่า ก่อนหน้านี้ทางสหรัฐได้ขอหยุดการเจรจาทันที ในช่วงที่มีการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา แต่หลังจากมีการเจราจาหยุดยิง ทางสหรัฐได้กลับมาเดินหน้าเจรจาภาษีกับไทยต่อทันที หน่วยงานที่รับผิดชอบทำงานกันต่อไป
ส่วนการยื่นข้อเสนอต่างๆ ของไทยนั้น ดำเนินการไปแล้วกว่า 99.99% หลังจากนี้คงขึ้นอยู่กับทางสหรัฐว่าจะพิจารณาอย่างไร โดยก่อนหน้านี้ไทยได้มีการพิจารณาปรับปรุงเงื่อนไขและยื่นให้กับทางสหรัฐไปเกือบหมดแล้ว อาจจะเหลือในส่วนของร่างสัญญาที่ไม่จำเป็นต้องรีบดำเนินการให้เสร็จ และเมื่อพิจารณาท่าทีของสหรัฐหลังจากได้รับข้อเสนอของไทยแล้วน่าจะออกมาในทิศทางที่ดี
เมื่อถามว่า หากสหรัฐพิจารณาลดภาษีนำเข้าให้ไทยในระดับ 25% นั้น รับได้หรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า ส่วนตัวไม่อยากเห็น 25% ยังยืนยันว่าข้อเสนอของไทยเป็นข้อเสนอที่ดูดี และจะเป็นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่าย
"วันนี้ยืนยันว่าสหรัฐสั่งให้กลับมาเจรจากันต่อแล้ว แปลว่าเขาปลดล็อกให้เราแล้ว ส่วนหลังจากนี้ยังเหลืออีก 3 วัน จนกว่าจะถึงวันที่ 1 ส.ค. ก็อยากให้มาดูกัน ตรงนี้เป็นอะไรที่น่าลุ้น ถ้าไม่ทันเขาก็อาจจะเลื่อนให้” รองนายกฯ และ รมว.การคลังระบุ
เมื่อถามว่า นายพิชัยเองจะต้องเดินทางไปสหรัฐด้วยหรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องดูก่อนว่าผลเป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าขณะนี้ประธานาธิบดีสหรัฐได้มอบให้ผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ดำเนินการ ซึ่งขณะนี้เหลือเวลา 3 วัน ซึ่งอาจประกาศก่อนวันที่ 1 ส.ค. ก็ได้ อยู่ประมาณนี้ และคิดว่าเราไม่ควรจะโดน 36% แน่นอน
ทางด้านนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า ปัจจัยเรื่องภาษีนำเข้าของสหรัฐจะมีแรงกดดันมากขึ้นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะผลกระทบมีทั้งทางตรงและทางอ้อม ต่อกลุ่มซัพพลายเชนต่างๆ การปรับตัวจากการทุ่มตลาด (ดัมปิ้ง) การเปิดนำเข้าในรูปแบบที่กำแพงภาษีลดลง และผลกระทบต่อการจ้างงาน
ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทยได้ร่วมมือกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และได้ประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในการเร่งพิจารณาออกมาตรการระยะสั้นและระยะยาวในการฟื้นตัวและขับเคลื่อนเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ให้ครบทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรม โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะมีความชัดเจนภายใน 1 เดือน
“เราต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็น Perfect Storm ซึ่งการช่วยเหลือจะต้องมีทั้งการประคับประคองไปจนถึงการฟื้นตัว ซึ่งการฟื้นตัวจะไม่ใช่รูปแบบเดิม ต้องเป็นรูปแบบใหม่เลย เราเข้าใจว่าทรัพยากรของประเทศมีจำกัด เราเห็นในเรื่องแรงกดดันของหนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะ โครงสร้างเศรษฐกิจนอกระบบ ดังนั้นจึงต้องเร่งเข้ามาคิดพิจารณาในวาระแวดล้อม จะทำอย่างไร มีมุมไหนที่เราจะแข่งขันได้ ด้วยรูปแบบอย่างไร และต้องมีการลงทุนใหม่แบบไหน ไม่ใช่แค่การลงทุนเพิ่ม แต่เป็นการลงทุนเพื่อทำให้ของเก่ายังคงอยู่ได้ และอยู่ได้ในรูปแบบใหม่ ในตลาดใหม่ ในโครงสร้างการค้า กฎ กติกาโลกแบบใหม่ ทั้งหมดเป็นเรื่องใหม่ทั้งสิ้น เราต้องเร่งลำดับความสำคัญของแต่ละภาคส่วน ไม่ว่าจะภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม ภาคการเงินและบริการ” นายผยงระบุ.