ถอดบทเรียนอนาคต: เมื่อพรรคส้มเป็นรัฐบาล และกัมพูชาพร้อมรบเต็มรูปแบบ
หากอีก 10 ปีข้างหน้า พรรคส้มได้เป็นรัฐบาล ในจังหวะที่กัมพูชามีผู้นำเผด็จการทันสมัย มีกองทัพไฮเทคและพันธมิตรระดับภูมิภาคหนุนหลัง ประเทศไทยอาจเหลือเพียงรัฐธรรมนูญที่เขียนสวย วาทกรรมเสรีภาพลอยฟ้า กับทหารที่ถูกลดทอนบทบาทจนสังคมสั่งให้เงียบ และไม่มีอะไรเลยที่จะหยุดขีปนาวุธจากเพื่อนบ้านได้… นอกจากโพสต์บนโซเชียล
ระบอบประชาธิปไตยไม่เคยเติบโตได้ด้วย วาทกรรมเท่ๆ เพียงลำพัง เช่นเดียวกับความมั่นคงของรัฐ ที่ไม่มีทางตั้งอยู่ได้ด้วย คำขวัญเสียดสี หรือ ถ้อยคำด่าทหาร ที่ เรียกเสียงหัวเราะจากหน้าฟีด
ตลอดเกือบหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็นวิวัฒน์ของพรรคการเมืองสาย “ส้ม” ที่แม้จะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหัวหน้า หรือปรับโลโก้ใหม่ แต่แก่นแท้ของแนวคิดต่อต้านโครงสร้างด้านความมั่นคงของรัฐยังคงเหนียวแน่นไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าจะในนาม “อนาคตใหม่” “ก้าวไกล” หรือ “พรรคประชาชน” ในปัจจุบัน
พรรคเหล่านี้มีลักษณะร่วมที่ชัดเจนคือการวางจุดยืนเป็นปฏิปักษ์กับกองทัพ และการพยายามทำให้ทหารหมดความชอบธรรมในสายตาประชาชน ผ่านวาทกรรมประชานิยมแบบเสียดสี ตั้งแต่ “ทหารมีไว้ทำไม” “รบไปผมก็ไม่เชื่อว่าคุณจะชนะ” ไปจนถึง “เปลี่ยนงบซื้อกระสุนมาเป็นงบซื้อนมกล่อง”
คำเหล่านี้ถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เพียงบนเวทีปราศรัย หากแต่ยังสะท้อนผ่านการอภิปรายในสภา ที่เลือกใส่อารมณ์เหนือข้อเท็จจริงทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยไม่คำนึงว่า ประเทศไทยไม่ได้ตั้งอยู่กลางอุดมคติ แต่ตั้งอยู่กลางพรมแดนยาวกว่า 5,000 กิโลเมตร ซึ่งเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์การทับซ้อนของดินแดน และความไม่ไว้ใจที่สั่งสมมาเป็นชั่วอายุคน
การกล่าวหากองทัพว่าเป็น “อุปสรรคต่อประชาธิปไตย” หรือ “เครื่องมือของรัฐประหาร” โดยปราศจากความพยายามแยกแยะหน้าที่ในมิติเชิงยุทธศาสตร์ คือ การลดทอนความมั่นคงของรัฐลงเหลือเพียงภาพจำในโซเชียลมีเดีย เพราะในความเป็นจริง ทหารอาจผิดในทางการเมืองได้ แต่รัฐไม่อาจไม่มีทหารได้เลยในทางความมั่นคง
และยิ่งเมื่อมองผ่านกรอบฉากทัศน์ในอนาคต หากเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชายกระดับขีดความสามารถทางทหารอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไทยมีรัฐบาลจากพรรคที่มีแนวคิดปฏิเสธความจำเป็นของกองทัพโดยเนื้อแท้ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “จะตัดงบเท่าไหร่” แต่คือ “เรายังรักษาเอกราชและอธิปไตยไว้ได้หรือไม่?”
เหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงข่าวความมั่นคงชั่วคราว หากแต่เป็นฉากสะท้อนให้เห็นบางอย่างในเชิงลึกว่า ท่าทีของพรรคประชาชนต่อทหารและกองทัพไทย ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องนโยบาย หากแต่ฝังลึกอยู่ในโครงสร้างความคิด
ในช่วงที่ทหารไทยเสียชีวิตจริงจากแนวปะทะ สส.สหัสวัต คุ้มคง จากพรรคประชาชน เขต 7 ชลบุรี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า “สิ่งแรกที่ถูกฆ่าในสงครามคือความจริง… ทหารไทยแม่งทำแบบนี้มาตลอด… กองทัพส้นตีนนี่จะไม่ใช้โอกาสนี้สร้างความชอบธรรมให้ตัวเองเหรอ?”
ไม่ใช่คำกล่าวที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์จบลงแล้ว หากแต่ถูกโพสต์ ขณะที่แนวชายแดนยังมีเสียงปืนขณะที่ทหารไทยกำลังเสียชีวิตจากการปกป้องพื้นที่อธิปไตย และขณะที่ประชาชนบางส่วนยังไม่ได้รับการส่งกลับจากพื้นที่เสี่ยง
จะเรียกโพสต์ลักษณะนี้ว่า “พลาด” ก็คงยากไปสักหน่อย
แม้ต่อมาจะมีการออกมาขอโทษ และลบโพสต์ต้นทางไปแล้ว แต่ถ้อยคำที่ปรากฏก็ยังเต็มไปด้วยการ อธิบายตัวเองมากกว่าทบทวนตนเอง
เนื้อความในคำขอโทษเน้นย้ำว่า “ไม่ได้มีเจตนาโจมตีกองทัพ” และ “ต้องการให้รัฐบาลสื่อสารชัดเจน” แต่ไม่ได้ขอโทษต่อผู้เสียชีวิตอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้เอ่ยถึงทหารไทยที่สละชีวิตในเหตุการณ์นั้นแม้แต่น้อย
ที่สำคัญคือ แกนกลางของความคิด ยังเหมือนเดิมทุกประการ คือการตั้งข้อสงสัยต่อกองทัพไว้ก่อนเสมอ โดยอ้างว่าทำไปด้วยความห่วงใยประชาชน
หากเป็นเพียงกรณีเฉพาะตัว พรรคคงปฏิเสธความรับผิดชอบได้ง่ายกว่านี้ แต่สิ่งที่ตามมาคือแถลงการณ์สั้นๆจากพรรคประชาชน ซึ่งระบุเพียงว่า “ได้มีการตักเตือน สส. แล้ว” และ “ขอสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลทุกภาคส่วนเพื่อยุติความสูญเสีย”
คำชี้แจงของพรรคประชาชนในวันที่สังคมร้อนระอุ ดูเผินๆอาจฟังเหมือนพยายามรักษาน้ำเสียงกลางๆ
แต่เมื่ออ่านข้อความนั้นจนจบ กลับพบว่า ไม่มีแม้แต่คำว่า “กองทัพ” หรือ “ทหาร” ปรากฏอยู่เลย ทั้งที่สถานการณ์ขณะนั้นคือการสู้รบจริง มีทหารไทยล้มตายจริง และความมั่นคงของประเทศอยู่ในภาวะวิกฤต
ในเกมการเมือง การไม่พูดถึงสิ่งที่ควรถูกพูด อาจส่งเสียงดังกว่าคำแถลงนับพัน ยิ่งเมื่อคำที่หายไปคือ “ทหารไทย” ที่ยืนอยู่กลางสมรภูมิ ความเงียบเช่นนี้จึงไม่ใช่อุบัติเหตุทางถ้อยคำ แต่คือความตั้งใจทางการเมือง
มันคือการค่อยๆ ลดบทบาทของทหารไทยลงจากจอเรดาร์ของสังคม ไม่ให้เห็น ไม่ให้กล่าวถึงไม่ให้สำนึกถึงความสูญเสีย ว่าเป็นราคาที่ใครบางคนจ่าย เพื่อให้ใครอีกหลายคนได้อยู่อย่างปลอดภัย
แนวคิดนี้จึงไม่ใช่แค่ “ความเห็นส่วนบุคคล” ของนักการเมืองคนใดคนหนึ่ง แต่คือฟันเฟืองในเครื่องจักรขนาดใหญ่ ที่ชื่อว่า“พรรคประชาชน” ซึ่งเดินมาอย่างมั่นคงในเส้นทางของการลดทอนโครงสร้างด้านความมั่นคงของรัฐ แม้ในวันที่รัฐกำลังถูกคุกคามอย่างชัดแจ้ง
สิ่งที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ไม่เพียงเผยให้เห็นท่าทีของนักการเมืองในยามวิกฤต แต่ยังทำให้เราเห็นว่า วาทกรรมที่ถูกใช้ในพื้นที่สาธารณะของพรรคประชาชน มักไม่ตั้งอยู่บน “โครงสร้างของสถานการณ์จริง” เลยแม้แต่น้อย
ถ้อยคำอย่าง “สิ่งแรกที่ถูกฆ่าในสงครามคือความจริง” ซึ่ง สส. สหัสวัต คุ้มคง ใช้ประกอบการโพสต์ หรือคำกล่าวของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ระบุว่า “เลือดของเด็กผู้บริสุทธิ์เปื้อนอยู่ในมือคุณ” ฟังเผิน ๆ อาจดูเฉียบคม เปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม และมีจังหวะทางภาษา
แต่เมื่อพิจารณาให้ดี จะพบว่านี่คือวาทกรรมที่ถูก ลอก–ยืม–แปะ มาแบบลวก ๆ ไม่ได้เกิดจากความเข้าใจ ไม่ได้มาจากความรู้สึกจริง และไม่เคยสัมผัสแม้เศษฝุ่นของสนามรบ แค่ “จิ๊กคำสวยๆ” จากสงครามของคนอื่น แล้วเอามาป้ายทหารของตัวเอง เหมือนเด็กติดโควตาคำคม เอาไว้เรียกยอดไลก์
การใช้คำใหญ่คำโต ในสถานการณ์ที่กำลังมีทหารไทยล้มตาย เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ จึงไม่ต่างอะไรจากการฉกสุนทรพจน์จากสงครามปลอม มายืนเห่าบนซากศพจริง
และสิ่งน่าเศร้าคือ พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ใช่ความผิดพลาดชั่ววูบ แต่คือ “ลักษณะประจำ” ของพรรคการเมืองสายส้ม ที่ยึดการเลือกคำให้เท่มากกว่าการเลือกบริบทให้เหมาะสม
พวกเขาไม่ได้พยายามอธิบายสถานการณ์จริงแต่ กำลังผลิตชุดความคิดสำเร็จรูป เพื่อปลูกฝังให้ผู้คนเชื่อว่า ทหารและกองทัพคือศัตรูของประชาชนเสมอและเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในแนวรบก็ตาม
และถ้าแนวคิดนี้ถูกปล่อยให้ฝังรากลึกต่อไปโดยไม่มีใครตั้งคำถามเราอาจไม่ได้แค่เสีย “ศรัทธา” ในกองทัพ แต่อาจกำลังเสี่ยงที่จะเสีย “กองทัพ” ไปจริงๆ ทั้งโครงสร้าง งบประมาณ และความสามารถในการปกป้องแผ่นดิน
ลองสมมุติว่า เราเดินไปข้างหน้าอีกสิบปี และ กัมพูชาไม่ใช่ประเทศเล็กที่มีเพียงทหารราบป้องกันพระวิหารอีกต่อไป แต่กลายเป็น รัฐที่มีกองทัพทันสมัย มีระบบอาวุธนำวิถี มีโดรนรบพิสัยไกล มีระบบป้องกันทางอากาศ และมีพันธมิตรระดับภูมิภาคที่พร้อมส่งเสียงหนุนหลัง
ขณะเดียวกัน สมมุติว่า ประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารของ รัฐบาลจากพรรคประชาชนพรรคที่เดินหน้านโยบายลดงบประมาณกองทัพ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร และผลักดันให้โครงสร้างกองทัพกลายเป็นเพียง “ฝ่ายสนับสนุนงานพลเรือน”
คำถามสำคัญคือ ประเทศไทยจะเหลือ“อะไร” ไว้เผชิญหน้ากับรัฐเพื่อนบ้านที่พร้อมรบเต็มรูปแบบ
อาจมีถ้อยแถลงจากโฆษกรัฐบาลว่า “เรายึดมั่นในสันติภาพ” หรือ “ทหารไม่ควรทำให้ใครตกเป็นเหยื่อ” แต่วลีสวยหรูเหล่านี้จะหยุดขีปนาวุธได้หรือไม่? จะป้องกันแผ่นดินไว้ได้ไหม หากศัตรูข้ามพรมแดนมาพร้อมอาวุธล้ำสมัย?
สันติภาพไม่เคยเกิดจากการพูดซ้ำๆ แต่เกิดจาก ขีดความสามารถในการป้องกันภัย และ เจตจำนงในการยืนหยัดบนแผ่นดินของตัวเอง
และเมื่อรัฐบาลไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำว่า “อธิปไตย” อย่างชัดถ้อยชัดคำ รู้สึกผิดทุกครั้งที่พูดถึง “กองทัพ” และเงียบทุกครั้งที่มีคนดูหมิ่น “ทหารไทย” ที่ยืนอยู่กลางสนามรบ
มันก็เท่ากับว่า รัฐบาลได้ลดสถานะของตัวเอง จาก“ผู้พิทักษ์ความมั่นคงของชาติ” เหลือเพียง “ผู้จัดการเสียงข้างมากในสภา” เท่านั้นเอง
การสื่อสารที่ดูดี อาจสร้างคะแนนนิยม รัฐธรรมนูญที่ร่างสวย อาจปลุกความหวัง แต่ถ้ารัฐบาลไม่มีแม้แต่เจตจำนงในการปกป้องเส้นเขตแดนของตัวเอง ทุกเครื่องมือประชาธิปไตยก็ไม่ต่างอะไรจาก ธงที่ปักลงบนแผ่นดิน…ที่ไม่มีใครรู้ว่าขอบเขตอยู่ตรงไหน
ประชาธิปไตยจะยืนระยะได้อย่างไร หากอธิปไตยยังรักษาไว้ไม่ได้ รัฐบาลใดจะสมควรได้เสียงปรบมือ หากยังไม่กล้ายืนเคียงข้างทหารที่ล้มตายเพื่อปกป้องแผ่นดิน
ถ้าเรายอมปล่อยให้วาทกรรม “ลดบทบาทกองทัพ” กลายเป็นหลักคิดหลักของรัฐบาลในอีก 10 ปีข้างหน้า หากประเทศไทยอยู่ภายใต้การนำของพรรคประชาชนที่ยังดำรงจุดยืนเดิมต่อกองทัพไม่เปลี่ยนแปลง…เราต้องกล้าถามว่า ประเทศไทยจะเหลืออะไรให้ปกป้องอีกหรือไม่?
ลองจินตนาการฉากทัศน์ในปี 2578 เมื่อกัมพูชาแปรสภาพเป็น “รัฐทหารสมัยใหม่” ที่มีพันธมิตรระดับภูมิภาคหนุนหลัง มีคลังอาวุธอัจฉริยะ ระบบปัญญาประดิษฐ์ควบคุมการรบ และผู้นำที่พร้อมเขียนแผนที่ใหม่เพื่อกลบฝังความพ่ายแพ้ในอดีต
ในขณะที่ประเทศไทยกลับมี รัฐบาลที่มองกองทัพเป็นเพียง “ภาระ” ทางการเมือง งบประมาณด้านความมั่นคงถูกหั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า การวิจัยพัฒนาอาวุธไม่มีอนาคต หน่วยรบพิเศษกลายเป็นทีมจัดอีเวนต์ให้รัฐมนตรีถ่ายรูป
ทหารระดับผู้นำถูกโยกย้ายโดยอ้างเรื่อง “ความไม่โปร่งใสในอดีต” โดยไม่มีหลักฐาน ทหารปฏิบัติการถูกดูแคลนในทุกเวที โรงเรียนเตรียมทหารและนายร้อยถูกวิพากษ์ว่าล้าหลังและควรถูกยุบ
และเมื่อถึงวันที่ประเทศต้องเผชิญภัยคุกคามข้ามพรมแดนเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นโดรนติดอาวุธจากระยะไกล หรือขีปนาวุธพิสัยกลางที่พร้อมโจมตีจุดยุทธศาสตร์
คำถามคือ เราจะเอาอะไรต้านไว้? คำสัญญาเรื่องประชาธิปไตย? วาทกรรมเรื่องเสรีภาพ? หรือคอมเมนต์ในโซเชียล?
ใช่ กองทัพไทยอาจมีปัญหา แต่การลดทอนจนแทบหมดศักยภาพในการรบ ไม่ใช่คำตอบของประเทศที่ยังต้องมี“เส้นเขตแดน” เพราะเมื่อปืนศัตรูลั่นอีกครั้ง มันจะไม่ถามหาความโปร่งใส มันจะยิงใส่ “ธงชาติ” ก่อน แล้วคำถามคือ ใครจะยืนอยู่ตรงนั้น?
ไม่ใช่การจินตนาการเลื่อนลอย แต่มันคือภาพสะท้อนจากแนวโน้มจริง หากการเมืองไทยยังดำเนินอยู่บนแนวคิดที่มองทหารและกองทัพเป็นศัตรูของประชาชนและเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย มากกว่าผู้เสียสละเพื่อแผ่นดิน
เราอาจไม่ต้องกลัว “รัฐประหาร” เท่ากับที่ควรกลัว “รัฐบาลที่ไร้ขีดความสามารถในการรบ” ในวันที่ประเทศต้องเลือกระหว่าง“ยอม” กับ “หาย” จากแผนที่ภูมิรัฐศาสตร์ และเมื่อถึงเวลานั้นใครจะเป็นคนรับผิดชอบ?
ในวันที่ “การดูหมิ่นทหารและกองทัพ” กลายเป็นแฟชั่นทางการเมือง และ “การตัดงบความมั่นคง” กลายเป็นนโยบายหาเสียง เราควรหยุดถามแค่เรื่องอุดมการณ์ แล้วหันมาถามว่า…
หากวันหนึ่งประเทศนี้เผชิญสงครามเต็มรูปแบบจากเพื่อนบ้าน ที่มีผู้นำแบบเบ็ดเสร็จ อาวุธล้ำยุค และเจตนารมณ์ชัดเจนในการรุกคืบ ประเทศไทยจะเหลือ “อะไร” เป็นปราการสุดท้าย?
รัฐธรรมนูญที่เขียนไว้สวย จะกลายเป็นกระดาษเปล่า เสรีภาพที่ไร้กองทัพรองรับ จะเป็นแค่ภาพฝันในอดีต และที่สำคัญเราอาจไม่มีแม้แต่เสียงจากสังคม ที่กล้ายืนยันว่าแผ่นดินนี้ต้องได้รับการปกป้องไม่ว่าด้วยเลือดหรือชีวิต
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่คำทำนาย แต่คือสมมุติฐานที่ตั้งอยู่บนเหตุผล หากประเทศไทยยังเดินตามพรรคการเมืองที่ภาคภูมิใจในการลดทอนกองทัพ ละเลยภัยคุกคาม และมองอนาคตผ่านพู่กันแห่งความหวัง โดยไม่มีกระจกแห่งความจริง
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า ใครเป็นรัฐบาล แต่คือเราจะปล่อยให้ “เสรีภาพ” ทำลาย “ความมั่นคง” ด้วยมือของตัวเองหรือไม่?
และก่อนที่เราจะตื่นขึ้นมาในประเทศที่ไม่มีอะไรให้ปกป้องอีกต่อไป เราควรรีบ “ถอดบทเรียนอนาคต: เมื่อพรรคประชาชนเป็นรัฐบาล และกัมพูชาพร้อมรบเต็มรูปแบบ” ก่อนที่แผ่นดินจะไร้แนวชายแดนและอุดมการณ์จะไร้คนยืนถือปืน!