ควันหลงสมรภูมิรบริมชายแดน เขย่า ‘ส้ม’ 2 ขั้ว รอวันระเบิด ?
กลายเป็นสถานการณ์ “กลืนไม่เข้า คายไม่ออก” สำหรับ “พรรคส้ม” พลันที่ “สหัสวัต คุ้มคง” สส.ชลบุรี พรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์ถามแรงถึงประเด็น “ทหาร” ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา แม้ว่าเขาจะโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวและตั้งค่าเอาไว้ “เฉพาะเพื่อน” ทว่ายังมี “มือดี” แคปมา จน “ทัวร์ลง” อย่างหนัก ต้องขอโทษต่อประชาชน และทหารในพื้นที่ไปช่วงเย็นวานนี้ (30 ก.ค.)
ต่อมาปฏิกิริยาจาก “ปชน.” ที่ออกแอ็คชั่น ระบุว่า พรรคประชาชนเห็นว่าข้อความดังกล่าว มีความไม่เหมาะสม โดยพรรคได้มีการตรวจสอบภายใน พูดคุยเพื่อทำความเข้าใจ และได้ตักเตือน “สส.สหัสวัต” แล้ว โดย ปชน.ยินดีสนับสนุนการทำหน้าที่ของรัฐบาลและทุกภาคส่วนเพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายของการยุติความสูญเสีย ปกป้องความปลอดภัยของประชาชน และนำพาสังคมกลับคืนสู่สถานการณ์ปกติโดยเร็ว
เช่นเดียวกับ “รังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ปชน. ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า พรรคได้ตักเตือน และคงมีการพูดคุยทำความเข้าใจกับ สหัสวัตต่อไป ทั้งนี้ความผิดพลาดเกิดขึ้นต้องขออภัย โดยสหัสวัตได้แสดงสปิริตแล้ว ยืนยันไม่ได้อยากให้เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น แต่เข้าใจว่าสหัสวัตมีความคิดของตนเอง พยายามใช้พื้นที่ส่วนตัวอย่างเฟซบุ๊กแสดงความเห็น แต่คิดว่าคงมีคนทักไปหลังจากโพสต์แล้ว ซึ่งเป็นไปตามรายละเอียดหลังจากปรากฎเป็นข่าว ว่าพรรคได้ดำเนินการอย่างไรไปบ้างแล้ว
รองหัวหน้าพรรค ปชน. ย้ำว่า จุดยืนของพรรคไม่เคยเปลี่ยน อะไรที่ถูกต้องที่ดี ก็ว่าดี อะไรที่ต้องแก้ไขปรับปรุงก็ต้องดำเนินการ ยกตัวอย่าง แม้วันนี้พรรคจะสนับสนุนให้กองทัพปกป้องประชาชน แต่ปัญหาอื่น ๆ เช่น การขึ้นศาลทหารซึ่งหลายครอบครัวไม่ได้รับความเป็นธรรม เราก็ต้องเรียกอย่าง อย่าเอาทุกเรื่องมารวมกัน แต่ต้องมองเป็นกรณีไปใช้เหตุใช้ผล ไม่มีอะไรดีร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือแย่ร้อยเปอร์เซ็นต์
ประเด็นที่น่าสนใจ ไฉนพรรค ปชน.ที่หลายคนมองจากภายนอกว่าค่อนข้างมี “เอกภาพ” หลังจากเฟ้นหา “ดีเอ็นเอสีส้ม” มาเข้าพรรคตั้งแต่เลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมา มี “งูเห่า” น้อยมาก หากเทียบกับสมัย “อนาคตใหม่-ก้าวไกล” ถึงยังมีบางคนที่อุดมการณ์-จุดยืนสวนทางกับพรรค โดยเฉพาะการงัดข้อ-ถกเถียงกันในเรื่อง “ปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง”
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ก่อนการมาถึงของพรรค ปชน.ซึ่งเป็น “ยานพาหนะคันที่ 3” ของ “พรรคส้ม” นั้น ถูกหลายฝ่ายมองว่า หลัก ๆ เกิดการผสมจาก 2 ปีก คือ
1.ปีก “ซ้ายกลาง” กลุ่มคนที่มีแนวคิดนี้ส่วนใหญ่ คือหนึ่งในผู้ก่อการตั้งพรรคอนาคตใหม่เมื่อปี 2561 หวังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมือง-เศรษฐกิจ นำโดย 3 เสาหลัก “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-ชัยธวัช ตุลาธน-ศรายุทธิ์ ใจหลัก” รวมถึงกลุ่มก๊วน “เพื่อนธนาธร” และบรรดาแกนนำพรรครุ่นถัด ๆ มา เช่น “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์-ศิริกัญญา ตันสกุล-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ-ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล-วิโรจน์ ลักขณาอดิศร-ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์-พริษฐ์ วัชรสินธุ” เป็นต้น
แต่ต่อมาภายหลังยุบพรรคอนาคตใหม่ ปีกซ้ายกลางบางคนที่มิได้เอ่ยชื่อ เริ่มหันเหตัวเองออกจากเส้นทางนี้ไป หลังพรรคมีนโยบายทางการเมืองเริ่มไปแตะ “มาตรา 112” โดยคนในกลุ่มนี้บางส่วนกลายเป็น “งูเห่า” และย้ายไปหลายพรรค หรือบางคนไม่ถูกส่งลง สส.
2.ปีก “ซ้ายจัด” อดีตนักกิจกรรม-นักวิชาการ ตั้งแต่สมัย “แดงก้าวหน้า-ม็อบต้านรัฐประหาร” จนมาถึง “ม็อบเยาวชน 3 นิ้ว” ในปีกนี้ นำโดย “ปิยบุตร แสงกนกกุล” อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งมีจุดยืนชัดเจนเกี่ยวกับการ “ปฏิรูปสถาบันฯ” โดยมีบรรดาลูกศิษย์หลายคน หนึ่งในนั้นคือ “รังสิมันต์ โรม” อดีตนักกิจกรรมต้านรัฐประหาร นอกจากนี้ยังอาจนับรวมอดีตนักกิจกรรมช่วง “ม็อบ 3 นิ้ว” เช่น ไอซ์ รักชนก ศรีนอก เนม สหัสวัต คุ้มคง ลูกเกด ชลธิชา แจ้งเร็ว (ไม่นับ โตโต้ ปิยรัฐ จงเทพ ที่ว่ากันว่าเป็น “สายตรง” บิ๊กเนมในพรรค) และมีอีกหลายคนทั้งที่เคยเป็นแกนนำพรรคยุคอนาคตใหม่-ก้าวไกล บางคนลดบทบาททางการเมืองไปแล้ว เป็นต้น
จุดยืนของ “พรรคส้ม” ชัดเจนว่า พรรคเปิดโอกาสให้สมาชิกแต่ละคนมีอิสระทางความคิดเต็มที่ ทำให้บางครั้งเกิดเหตุการณ์ปะทะกันบ้าง ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อย เช่น แนวทางการทำพื้นที่หาเสียง ที่มี สส.เขตบางคน เคยทะเลาะกับ “อดีตบิ๊กเนมสีส้ม” กลางวงประชุมใหญ่ของพรรค ลามไปถึงเรื่องใหญ่โต เช่น การคัดสรรคนลง สส.เขต-ปาร์ตี้ลิสต์ช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา “อดีตบิ๊กเนมสีส้ม” 2 คน งัดข้อกันหนักจนเกือบทำพรรคแตก สุดท้าย “ธนาธร” ต้องมาเป็นกาวใจ เป็นต้น
แต่การปะทะกันทางความคิดภายในพรรคเกิดขึ้นไม่บ่อย และหลายคนทำงานในลักษณะ “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” ทำให้ภาพดูค่อนข้างเป็น “เอกภาพ” และถูกชูเป็นสัญลักษณ์ “พรรคฝ่ายซ้ายใหม่” ของไทย ทว่าเมื่อการมาถึงของสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้ “จุดต่าง” ที่ถูกสงวนเอาไว้ เริ่มระเบิดออกมาอีกครั้ง
โดยในกลุ่ม “ซ้ายกลาง” ซึ่งถือเป็นคนกลุ่มใหญ่ และมีบทบาทสำคัญในพรรค มองในมุมสนับสนุนการทำหน้าที่ของทหาร ในการปกป้องประเทศ และติเตียนฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะประเด็น “คลิปฉาว” ของ “แพทองธาร ชินวัตร-ฮุน เซน” ที่นำพาประเทศมาถึงจุดนี้ โดยหวังใช้ประเด็นนี้ทำลายความนิยมของ “ค่ายสีแดง” ที่ถือเป็น “ศัตรูหลัก” ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ขณะที่กลุ่ม “ซ้ายจัด” ในพรรคมองว่า ไม่ควรไว้วางใจ “ทหาร” เพราะว่าเป็น “แถวหน้า” ในเครือข่ายอนุรักษนิยม ที่พาประเทศติดหล่มหลายครั้ง ผ่านการรัฐประหารที่ผ่านมา โดยมองว่ากลไกการรบระหว่างประเทศ ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ “ฝ่ายการเมือง” นำ “การทหาร” เน้นการเจรจา เปิดด่านชายแดน มากกว่าการรบ ซึ่งมี “มหามิตร” ที่เป็น “ซ้ายจัด” หลายคนสนับสนุนจุดยืนนี้ นำโดย “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล”
แต่กลุ่มซ้ายจัดในพรรค อยู่ในสถานการณ์ “กลืนไม่เข้า คายไม่ออก” เพราะไม่มีบทบาทมากนักในพรรค และส่วนใหญ่เป็น สส.เขต ทำให้เกิดความเงียบ ไม่มีข้อเสนอใด ๆ ในเรื่องนี้ เช่น “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ที่มักมีข้อเสนอทางการเมืองเสมอ ๆ เลี่ยงไปแสดงความเห็นเรื่องอื่น ขณะที่ “เนม สหัสวัต” โพสต์ระบายความอัดอั้นตันใจในเฟซบุ๊กส่วนตัว เปิดสถานะให้เห็นแค่ “เพื่อน” แต่กลับถูกแคปไปประจาน จนเกิดเรื่องดราม่าอย่างที่ผ่านมา
แม้ว่าดราม่าเรื่องนี้จะจบเร็ว โดยมีความพยายามจากในพรรค เพื่อไม่ให้เสียคะแนนเสียงของประชาชน ที่กำลังอยู่ในภาวะหาที่ยึดเหนี่ยวในสถานการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชาก็ตาม แต่เรื่องนี้หากยิ่งปล่อยไว้ อาจยิ่งบานปลาย จนสุดท้ายรอวันระเบิดอีกครั้ง
ดังนั้นก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป คงถึงคราว “พรรคส้ม” ต้องสรุปบทเรียนจากเรื่องนี้ หากต้องการ “รีแบรนด์” แก้ภาพลักษณ์ “พรรค 112” เพื่อโกยฐานเสียงเพิ่มเติมในอนาคต หากหวังจะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว