รฟท. - กทท. เดินหน้าความร่วมมือ ดันขนส่งสินค้าทางรางพุ่ง 2 ล้านตู้
นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) พร้อมระบุว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ จะสนับสนุนเป้าหมายการขนส่งสินค้าทางรางให้เป็นระบบโลจิสติกส์หลักของประเทศ
อย่างไรก็ดี เป้าหมายดังกล่าวจะเกิดขึ้นต้องเร่งพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ซึ่งมีข้อได้เปรียบในแง่ต้นทุนพลังงานที่ต่ำ ความปลอดภัยสูง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าระบบขนส่งรูปแบบอื่น อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายการขนส่งของภาครัฐ ที่มุ่งส่งเสริมการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งไปสู่ระบบที่ยั่งยืนมากขึ้น
ด้านนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาระบบขนส่งสินค้าทางรางของไทย จากปัจจุบัน กทท.มีปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางอยู่ที่ราว 5 แสนทีอียูต่อปี และพบว่ามีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ช่วยอำนวยความสะดวกและผลักดันปริมาณการขนส่งทางรางให้เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านทีอียูต่อปี ภายใน 10 ปีนี้
อย่างไรก็ดี กทท.จะสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ เพื่อเชื่อมต่อการขนส่งทางเรือและทางราง โดยเฉพาะท่าเรือแหลมฉบังจะมีการลงทุนติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์ยกขนสินค้า (RMG) ในโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 มูลค่ากว่า 900 ล้านบาท เพื่อรองรับการขนส่งตู้สินค้าได้มากขึ้น อย่างมีประสิทธิภาพ
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ รฟท. กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางราง เพื่อเชื่อมโยงกับฐานการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและการเกษตรทั่วประเทศ มุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากการขนส่งทางถนนไปสู่ระบบรางที่มีศักยภาพในการรองรับปริมาณการขนส่งได้มากกว่า ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการปล่อยมลพิษ
โดยในส่วนของ รฟท. จะผลักดันเป้าหมายการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มมากขึ้น ผ่านการเพิ่มจำนวนแคร่รถไฟจาก 32 แคร่ เป็น 35 แคร่ ซึ่งสามารถรองรับจำนวนตู้ขนส่งสินค้าเพิ่มได้อีก 5-6 หมื่นทีอียูต่อปี รวมทั้งเพิ่มขบวนรถไฟจาก 24 ขบวน เพิ่มเป็น 26-28-30 ขบวนตามลำดับ อีกทั้ง รฟท.ยังมีแผนการจัดซื้อแคร่ขนส่งสินค้าอีก 946 แคร่ โดยเตรียมจะเสนอเข้าที่ประชุม ครม. เห็นชอบเร็วๆ นี้ ซึ่งจะช่วยให้การขนส่งสินค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายวีริศ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน รฟท.ยังมีแผนเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนเป็นผู้ประกอบการสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ไอซีดี) ลาดกระบัง ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งสินค้าทางราง ซึ่งปัจจุบัน รฟท. ได้ส่งเรื่องไปยังกระทรวงคมนาคมแล้ว คาดว่าจะเสนอไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ภายใน 1-2 สัปดาห์ จากนั้นจะเสนอต่อ ครม. พิจารณาต่อไป
“สัญญาใหม่ที่จะเปิดให้เอกชนร่วมทุน การรถไฟฯ มีการปรับปรุงในการกำหนดให้เอกชนต้องขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้นในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 50% ของปริมาณการขนส่งสินค้าทั้งหมด และจะต้องดำเนินการภายใน 1 ปี ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากสัญญาเดิม ที่มีการกำหนดไว้ให้สัดส่วนการขนส่งรถไฟอยู่ที่ 40%”