ภาษีทรัมป์สูงสุดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ฉุดจีดีพี ดันของแพงขึ้นใน 3 ปี
Bloomberg Economics วิเคราะห์มาตรการภาษีล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังมีการเปิดเผยตัวเลขอัตราภาษีที่แต่ละประเทศถูกเรียกเก็บจากสหรัฐในวันนี้ (1 ส.ค.) ว่า มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลักดันให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกด้วย
มาเอวา คูแซง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ด้านการค้าของ Bloomberg Economics กล่าวว่า ภาษีศุลกากรที่ประกาศวันนี้ซึ่งอยู่ระหว่างอัตรา 10 - 41% และถือเป็นอัตราที่"สูงที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2" จะทำให้อัตราภาษีศุลกากรโดยเฉลี่ยของสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 15.2% จาก 2.3% ในปี 2567 หรือก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ
การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่ามาตรการนี้จะทำให้จีดีพีของสหรัฐปรับตัวลดลงถึง 1.8% และดันราคาสินค้าพื้นฐานแพงขึ้น 1.1% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นทั่วโลกยังมีแนวโน้มที่จะบั่นทอนอุปสงค์ในเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าต่างๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับว่า "ภาคเอกชน" บริษัทต่างๆ จะยอมแบกรับต้นทุนไว้เอง หรือจะส่งผ่านไปยังผู้บริโภคอย่างไร
การประมาณการนี้ยังขึ้นอยู่กับอัตราภาษีศุลกากรที่จะมีการใช้จริงหลังจากนี้ และข้อตกลงเกี่ยวกับภาษีรถยนต์กับสหภาพยุโรป (อียู) ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ยังคงมีผลบังคับใช้ รวมถึงข้อตกลงภาษีใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับ "จีน" และภาษีรายเซ็กเตอร์ที่เจ้าหน้าที่สหรัฐกำลังพิจารณาอยู่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบเปลี่ยนแปลงตามมาอีกได้
"ภาษีศุลกากรจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อจีดีพีทั่วโลก" คูแซงระบุ "สำหรับประเทศคู่ค้าหลายรายของสหรัฐ ภาษีที่สูงขึ้นสร้างความเสี่ยงด้านลบต่ออุปสงค์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ"
ประเทศที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ "จีน" ซึ่งยังคงถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรหลายรายการ รวมถึงภาษีที่กี่ยวข้องกับยาเฟนทานิลที่ 20% และ "สวิตเซอร์แลนด์" ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 39% และสูงกว่าระดับวันที่ 2 เม.ย.
อย่างไรก็ตาม หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบลูมเบิร์ก อีโคโนมิกส์มองว่ายังพอมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่บ้างกับ "ช่วงเวลา 7 วัน" ก่อนการบังคับใช้ภาษีศุลกากรใหม่นี้ ทำให้บางประเทศยังพอมีช่องทางในการเจรจาต่อรองเพื่อลดระดับภาษีศุลกากรลงได้อีก