อดีตผู้พิพากษาอาวุโสชี้คดีป่วยทิพย์ชั้น 14 มาถึงฉากสุดท้ายไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์หรือฟ้องศาล รธน.
31 ก.ค.2568 - นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฏีกา โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “คดีป่วยทิพย์ชั้น 14 เดินทางมาถึงฉากสุดท้าย มาพร้อมการไขปัญหาที่น่าสนใจ” มีเนื้อหาว่า
1.เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เวลา 9.30 นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 ระหว่างอัยการสูงสุดและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โจทก์ นายทักษิณ ชินวัตร จำเลย เป็นนัดที่ 7 นัดสุดท้าย
ศาลไต่สวนพยาน 1 ปาก คือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. วิษณุ เครืองาม โดยศาลอนุญาตให้โจทก์ (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ซักถามพยานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร คดีเสร็จการไต่สวน นัดฟังคำสั่งในวันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 10 นาฬิกา และมีคำสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย เข้าฟังด้วย
2.มีรายงานข่าวว่า การไต่สวนครั้งนี้ ใช้เวลาประมาณ 35 นาที สรุปได้ว่า ขณะนายทักษิณเดินทางกลับประเทศไทย พยานดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พยานส่งบันทึกถ้อยคำของตนต่อศาลล่วงหน้า
3.ตั้งแต่ทราบข่าวว่านายทักษิณจะเดินทางกลับประเทศไทย พยานได้ประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2 ครั้ง เพื่อเตรียมรับตัวนายทักษิณจากสนามบินไปศาลฎีกาฯ และจากศาลฎีกาฯ ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร สำรวจสถานที่คุมขังนายทักษิณในสถานที่พิเศษเหมือนนักโทษการเมืองคนอื่น นายทักษิณเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี อาจถูกประทุษร้าย และต้องได้รับการดูแลอาการป่วย
4.เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 พยานได้เดินทางไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร สำรวจสถานที่คุมขัง และพูดคุยกับนายทักษิณในห้องพยาบาลในเรือนจำพร้อมกับเจ้าหน้าที่เป็นเวลาประมาณ 20 นาที แล้วเดินทางกลับ กลางดึกวันเดียวกัน พยานได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จากปลัดกระทรวงยุติธรรมว่า มีการย้ายตัวนายทักษิณออกจากเรือนจำเข้ารักษาตัวด่วนที่โรงพยาบาลตำรวจแล้ว พยานไม่ทราบเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณ
ผู้เขียนได้ติดตามคดีนี้ผ่านโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ รวมทั้งการตอบโต้กันระหว่างคณะบุคคลที่เข้าฟังการไต่สวนกับทนายจำเลยมาตั้งแต่ต้นจนถึงการไต่สวนนัดสุดท้าย มีข้อสังเกตดังต่อไปนี้
1.การไต่สวนคดีทำนองนี้เคยเกิดในประเทศไทยมาก่อนหรือไม่ ทนายจำเลยให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนว่า ทนายมีอายุเลข 5 แล้ว ยังไม่เคยพบคดีทำนองนี้มาก่อนเลย
ผู้เขียนเห็นว่า ถ้าจะสรุปว่า คดีทำนองนี้ไม่เคยเกิดที่ศาลฎีกามาก่อน ก็ถูกต้อง แต่ถ้าสรุปว่า ไม่เคยเกิดในศาลอื่นๆ มาก่อนเลย ก็น่าจะยังคลาดเคลื่อนอยู่ เพราะเคยมีคดีอาญาที่จำเลยต้องติดคุก 2 รอบมาแล้ว กล่าวคือ คดีถึงที่สุด จำเลยได้รับโทษจำคุกครบแล้ว เรือนจำจึงปล่อยตัวจำเลยไป และจำเลยได้รับ “ใบบริสุทธิ์” (หนังสือสำคัญการปล่อยตัว” (ร.ท.25)) จากกรมราชทัณฑ์แล้ว ต่อมาเรือนจำเห็นว่า จำเลยยังรับโทษจำคุกไม่ครบ ศาลไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยยังรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาไม่ครบจริง จึงนำตัวจำเลยเข้าคุกอีกครั้ง เมื่อจำเลยได้รับโทษจำคุกรอบสองครบถ้วนแล้ว จึงปล่อยตัวจำเลยไป และจำเลยได้รับ “ใบบริสุทธิ์” อีกใบหนึ่งเป็นใบที่สอง
แต่จำเลยในคดีนั้นไม่ใช่อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องราวนี้จึงรู้กันเฉพาะในวงแคบ ๆ และจำเลยในคดีนั้นได้รับโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำจริง แม้จะเคยป่วยจนต้องออกมารักษานอกเรือนจำ แต่เมื่อแพทย์ตรวจรักษาไม่กี่วัน จำเลยก็กลับไปรับโทษจำคุกในเรือนจำต่อจนครบ
2.เหตุใดคดีนี้ศาลฎีกาจึงเรียกผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และจำเลยเข้าฟังคำสั่งศาลในวันที่ 9 กันยายน 2568 ด้วย
ผู้เขียนเห็นว่า โดยปกติ ในวันนัดฟังคำพิพากษาของศาลในคดีอาญา จะต้องมีตัวจำเลยและเจ้าพนักงานเรือนจำ (ผู้คุม) อยู่ในห้องพิจารณาคดี ไม่ว่าคดีนั้นศาลจะมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์หรือลงโทษจำเลย (ถึงแม้ศาลจะเขียนคำพิพากษายกฟ้องอยู่แล้ว ศาลก็ต้องเรียกผู้คุมมา) หากศาลอ่านคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ผู้คุมก็ควบคุมจำเลยออกจากห้องพิจารณาคดีไป โดยศาลจะออกหมายจำคุกระหว่างอุทธรณ์ฎีกา (หมายเหลือง) ให้ผู้บัญชาการเรือนจำดำเนินการตามหมายต่อไป ถ้าเป็นคำพิพากษาของศาลฎีกา ศาลจะออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด (หมายแดง)
แต่คดีนี้ ปรากฏจากทางไต่สวนว่า มีข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกับผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร (คนเก่า) ผู้เขียนสันนิษฐานว่า ศาลฎีกาคงประสงค์ให้ผู้บัญชาการเรือนจำ (คนปัจจุบัน) มาฟังคำสั่งศาลให้รู้เนื้อหาของคำสั่งด้วย ไม่น่าจะไปเดาถึงขนาดว่า ศาลคงจะลงโทษจำเลยแล้ว จึงเรียกผู้บัญชาการเรือนจำมาเตรียมรับตัวจำเลยไป
หากศาลอ่านคำสั่งให้จำเลยรับโทษจำคุกในส่วนที่ยังขาดอยู่จริง เจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมตัวจำเลยไป น่าจะเป็นเจ้าพนักงานเรือนจำ (ผู้คุม) ซึ่งมีหน้าที่ประจำห้องพิจารณาคดีในวันตัดสินคดีอยู่แล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของบัญชาการเรือนจำ
3.หากศาลฎีกามีคำสั่งให้จำเลยรับโทษจำคุกในส่วนที่ยังขาดอยู่ จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งศาลฎีกาได้หรือไม่
ผู้เขียนเห็นว่า คดีที่จะอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 ได้ ต้องเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมีองค์คณะ 9 คน แต่คดีนี้เป็นการไต่สวนในชั้นบังคับคดีว่า มีการบังคับตามคำพิพากษาที่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วหรือไม่ คำสั่งของศาลฎีกาย่อมเป็นที่สุด ตามมาตรา 65 วรรคสอง ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 จำเลยจึงไม่สามารถจะอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้
4.หากศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่า มีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด และมีคำสั่งให้จำเลยรับโทษจำคุกในส่วนที่ยังขาดอยู่ จำเลยจะนำคดีไปฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้หรือไม่
ผู้เขียนเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด (ตามที่สมมุติ) และมีคำสั่งให้จำเลยรับโทษจำคุกในส่วนที่ยังขาดอยู่ ไม่ใช่คดีเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย อันจะอยู่ในหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 7(1) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 จำเลยจึงนำคดีไปฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้
5.จำเลยจะได้ประโยชน์จากพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พ.ศ. 2567 หรือไม่
ผู้เขียนเห็นว่า หากศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การจำคุกจำเลยไม่ถูกต้องครบถ้วน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน การคุมขังจำเลยที่ได้รับมาแล้วจึงไม่ครบ 6 เดือน อันจะเป็นเหตุให้เข้าเกณฑ์ข้อแรกที่จะพักการลงโทษจำคุกได้ การพักการลงโทษจำคุกส่วนที่เหลือ และคุมความประพฤติไว้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อการพักการลงโทษและคุมประพฤติไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงไม่ได้ประโยชน์จากพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษฉบับนี้