สันติภาพ .. มิใช่เรื่องของคนเขลา.. สันติภาพ .. เป็นเรื่องความกล้าหาญอย่างมีสติปัญญา!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. สังคมมนุษยชาติ กำลังเดินทางเข้าสู่กาลแห่งความเสื่อมใน มนุษยธรรม จึงได้เห็นภาวะของความหายนะที่แผ่ครอบคลุมไปทั่ว ไม่เว้นประเทศใด ศาสนาใด หมู่ชนเผ่าใด…
รังสีแห่งการทำลายได้ขยายไป ไม่ว่าในศาสนจักรและในอาณาจักร ที่ปรากฏความสิ้นสลายในอุดมการณ์ ที่อ้างอิงศีลธรรม .. คุณธรรมความดี แม้ในคำสั่งสอนอันล้ำเลิศ…
หลักคุรุธรรม หรือ ศีลธรรม ของมนุษยชาติ ที่มีมาก่อนทุกศาสนา เพื่อการอยู่ร่วมอย่างสันติสุขของหมู่ชน ได้ถูกทำลายด้วยน้ำมือของคนในสังคมนั้นๆ ด้วยจิตที่ไร้ความสำนึกในมนุษยธรรม
สถานการณ์เช่นนี้ ต้องยอมรับว่า โลกธรรม มีอิทธิพลเหนือจิตวิญญาณของสัตว์มนุษย์จริงๆ.. จึงได้เห็นความเป็นธรรมดาของการแสวงหาที่แฝงไปด้วย การทำลาย..
สมกับเรื่องราวที่ปรากฏใน สักกปัญหสูตร ที่ท้าวสักกเทวราชได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า…
คำถามที่ ๑ พวกเทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์.. มีอะไรเป็นเครื่องผูกพันใจไว้
อนึ่ง ชนเป็นอันมาก เป็น ผู้ไม่มีเวร ไม่มีอาชญา ไม่มีศัตรู ไม่มีความพยาบาท ย่อมปรารถนาว่า ขอพวกเราจงเป็นผู้ไม่มีเวรอยู่เถิด
แม้พวกเขาปรารถนาอยู่ดังนี้ ก็ไฉนยังเป็น ผู้มีเวร มีอาชญา มีศัตรู มีความพยาบาท.. ยังจองเวรกันอยู่
พระพุทธเจ้า อันท้าวสักกะจอมเทพ ได้ทูลถามแล้ว ทรงตอบว่า.. มี ความริษยา.. และความตระหนี่ เป็นเครื่องผูกพันใจไว้
อนึ่ง ชนเป็นอันมากเหล่าอื่นนั้น เป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีอาชญา ไม่มีศัตรู ไม่มีความพยาบาท ย่อมปรารถนาว่า ขอพวกเราจงเป็นผู้ไม่มีเวรเถิด… .. ก็แม้พวกเขามีความปรารถนาอยู่อย่างนี้ ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นผู้มีเวร มีอาชญา มีศัตรู มีความพยาบาท… ยังจองเวรกันอยู่!! คำถามที่ ๒ .. ก็ความริษยาและความตระหนี่ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด
เมื่ออะไรมี ความริษยาและความตระหนี่ จึงมี..
เมื่ออะไรไม่มี ความริษยาและความตระหนี่ จึงไม่มี..
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า… ความริษยาและความตระหนี่ มีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก เป็นเหตุ เป็นสมุทัย เป็นกำเนิด.. เป็นแดนเกิด
เมื่ออารมณ์อันเป็นที่รัก ไม่เป็นที่รัก มีอยู่ ความริษยาและความตระหนี่ จึงมี
เมื่ออารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก ไม่มีอยู่ ความริษยาและความตระหนี่ จึงไม่มี
จากคำถามที่ ๒.. สู่คำถามต่อไป.. และต่อไป ก็จะพบเห็นว่า.. ทุกอย่างเกิดขึ้นมีอยู่ตามเหตุปัจจัย เช่น อารมณ์อันเป็นที่รัก.. ไม่เป็นที่รัก เกิดขึ้น ก็เพราะมีฉันทะ(ความพอใจ) เป็นเหตุ.. เป็นสมุทัย
ในความพอใจที่มีอยู่.. ก็เพราะมีความตรึก(วิตก) เป็นเหตุ เป็นสมุทัย เมื่อความตรึก (วิตก) มี.. ฉันทะ (ความพอใจ) ย่อมมี.. ก็ถ้าความวิตก (ตรึก) ไม่มี ความพอใจก็ไม่มี
แม้ในความพอใจ (ตรึก) ก็มีส่วนแห่งสัญญาประกอบด้วยปปัญจธรรม เป็นกำเนิด.. เป็นแดนเกิด เป็นต้น
จนถึงคำถามของท้าวสักกะจอมเทพ ที่ว่า ภิกษุปฏิบัติอย่างไร จึงจะได้ชื่อว่า ดำเนินปฏิปทาอันสมควรที่จะให้ถึงความดับส่วนแห่งสัญญาอันประกอบด้วยปปัญจธรรม..
ในข้อดังกล่าวนี้สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการนำความรู้ไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์อันชอบธรรม ด้วยการเจริญสติปัญญาประกอบการพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ว่า โสมนัส โทมนัส และอุเบกขา ควรแยกเป็น ๒ อย่าง คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี โดยพึงพิจารณาว่า ถ้าเสพแล้ว อกุศลธรรมเจริญ.. กุศลธรรมเสื่อม.. โสมนัส.. โทมนัส.. อุเบกขา นั้น ไม่ควรเสพ
แต่หากเสพแล้ว อกุศลธรรมเสื่อม กุศลธรรมเจริญ บุคคลพึงทราบว่า โสมนัส โทมนัส อุเบกขา นั้น ควรเสพ..
และใน โสมนัส โทมนัส อุเบกขา ทั้งที่ควรเสพ.. ไม่ควรเสพนั้น.. ถ้า โสมนัส โทมนัส อุเบกขา ใด มีวิตก วิจาร อันใดไม่มีวิตก วิจาร ใน ๒ อย่างนั้น ที่ไม่มีวิตก วิจาร ประณีตกว่า..
ต่อด้วยคำถามต่อไปที่ว่า ภิกษุปฏิบัติอย่างไร จึงจะได้ชื่อว่า ปฏิบัติแล้วเพื่อความสำรวมในปาติโมกข์..
พระพุทธเจ้า ตรัสตอบปัญหาในข้อนี้ของ ท้าวสักกะจอมเทพ ว่า.. กายสมาจาร วจีสมาจาร และการแสวงหา โดยแยกเป็น ๒ ส่วน คือ ที่ควรเสพก็มี และ ไม่ควรเสพก็มี .. โดยยึดหลักว่า.. ถ้าเสพแล้วอกุศลธรรมเจริญ กุศลธรรมเสื่อม ก็ไม่ควรเสพ แต่ถ้าเสพแล้ว อกุศลธรรมเสื่อม กุศลธรรมเจริญ ก็ควรเสพ
พระพุทธองค์ได้กล่าวถึง กายสมาจาร วจีสมาจาร และการแสวงหา… ที่ควรเสพ ไม่ควรเสพ ด้วยอาศัยหลักธรรมดังนี้.. ซึ่งหากภิกษุปฏิบัติตามนี้ ก็จะได้ชื่อว่า ปฏิบัติแล้วเพื่อสำรวมในปาติโมกข์.!
สำหรับในคำถามต่อไป ก็จะเชื่อมโยงไปจากคำถามนี้ที่ควรศึกษายิ่ง จนนำไปสู่การเกิด ปัญญาจักษุในท้าวสักกะจอมเทพ ซึ่งได้แสดงการเอาพระหัตถ์ตบปฐพี แล้วทรงเปล่งอุทาน ๓ ครั้ง ว่า…
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
(ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้นฯ)
การเปล่งวาจาด้วยดวงตาเห็นธรรม อันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน อันยังเกิดขึ้นแก่ ท้าวสักกะจอมเทพและบังเกิดขึ้นแก่เทวดาแปดหมื่นที่ติดตามไป ว่า..
“สิ่งใด สิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา…
..สิ่งนั้นทั้งมวล ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา..”
จึงประกันได้ว่า.. การตั้งใจ.. การใส่ใจให้ดีในธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วนั้น.. ย่อมยังให้เกิดดวงตาเห็นธรรม.. เข้าถึงภูมิอริยะสำเร็จเป็นโสดาปัตติผลได้จริงแท้.. แม้ในปัจจุบัน
นั่นหมายถึง.. พระธรรมคำสั่งสอนที่ทรงบัญญัติเป็น พระธรรมวินัย นั้น อันเป็นแก่นแท้ของ พุทธศาสนา มิได้เสื่อมสูญไปตามความมัวเมาของบรรดาหมู่ชนทั้งหลายที่อ้างอิงว่าเป็นชาวพุทธ.. แต่ขาดการศึกษาปฏิบัติด้วยความเคารพไม่… โดยเฉพาะผู้ที่เข้ามาบวชแล้วประพฤติผิดเพี้ยนไปจากพระธรรมวินัย ดังปรากฏเป็นข่าวมากมายในปัจจุบัน จนก่อเกิดกระแสวิกฤตศรัทธาไปทั่ว
จึงกล่าวได้ว่า.. สมควรแก่การสังคายนา.. ซึ่งหมายถึง การชำระอธิกรณ์ทั้งหลายให้สิ้นไป โดยอ้างอิงพระธรรมวินัยที่สมบูรณ์ ถูกต้องดีแล้ว ดังปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก.. เพื่อการชำระสิ่งแปลกปลอมที่ปะปนเข้ามาในคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สิ้นไป โดยเฉพาะศาสนาส่วนงอก.. ศาสนาเนื้องอก.. สัทธรรมปฏิรูป ที่เกิดขึ้นตามมาในภายหลัง จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาอย่างไม่รู้ว่า.. อะไรคือธรรม.. อะไรคือวินัย ที่แท้จริงของพระพุทธองค์
ดังในเรื่องการจัดระเบียบบริหารการปกครองสงฆ์ ที่อ้างอิงแบบชาวโลก ประกาศแต่งตั้งตนเองเป็นเจ้าคณะผู้ปกครองทั้งหลายที่ ไม่ได้มีการสรรหา เป็นไปตามอริยประเพณีดั้งเดิม.. อันควรทบทวนอย่างยิ่ง เมื่อได้เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในหมู่คณะผู้มีหน้าที่เป็น เจ้าคณะพระสังฆาธิการทั้งหลาย.. เป็นเถระโดยอายุ.. มีฐานะโดยตำแหน่ง จนที่สุด นำตน.. และสังคมของหมู่สงฆ์ไปสู่ความเสื่อม.. ที่เป็นเรื่องเลวร้ายอย่างยิ่งอย่างไม่เคยปรากฏ.. เพราะการอาศัยอำนาจหน้าที่.. น้อมนำไปสู่ ลาภ ยศ สรรเสริญ.. เจริญในอกุศลธรรม.. เสื่อมในกุศลธรรม.. ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า.. สิ่งเหล่านี้ควรเสพก็มี.. ไม่ควรเสพก็มี.. โดยหากพิจารณาเห็นว่า อกุศลธรรมเจริญ กุศลธรรมเสื่อม ก็ไม่ควรเสพ.. แต่ถ้ากุศลธรรมเจริญ อกุศลธรรมเสื่อม ก็ควร..
โดยเฉพาะ การปฏิบัติเพื่อความสำรวมในปาติโมกข์ ที่ทรงแสดงไว้ว่า กายสมาจาร วจีสมาจาร และการแสวงหา.. ที่ควรเสพก็มี.. ที่ไม่ควรเสพก็มี โดยให้ยึดหลักพิจารณาว่า.. หากเป็นไปเพื่อความเจริญของกุศลธรรมก็ควร.. หากเป็นไปเพื่อความเป็นอกุศลธรรมก็ไม่ควร
จึงควรแล้วหากพุทธบริษัททั้ง ๔ จะช่วยกันผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนเพื่อการชำระอธิกรณ์ทั้งปวงในแวดวงสงฆ์ให้สิ้นไป… ด้วยความรับผิดชอบร่วมกันต่อการสืบอายุพระพุทธศาสนา.. อย่าได้ถือตนถือตัว .. ยกตนยกตัว จนไม่ยอมรับฟังความเห็นของใครๆ… และอย่าได้ทำตัวเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนาแต่เพียงผู้เดียว.. เพราะสุดท้ายหากเกิดความเสียหาย ย่อมยากจะรับไหวในความหายนะ ที่เกิดจากความประมาท.. ความปรามาสธรรม ทั้งเจตนาและมิเจตนาของตน
สำคัญยิ่ง ควรคำนึงเสมอว่า.. สันติภาพ มิใช่ได้มาด้วยการทะเลาะวิวาท.. มิใช่ได้มาเพราะการใช้อำนาจบาตรใหญ่..
แต่สันติภาพ ได้มาด้วยสติปัญญาและการปฏิบัติชอบเท่านั้น… เชื่อเถิด พ่อมหาจำเริญ!!.
เจริญพร
dhamma_araya@hotmail.com