โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

อ่านเต็มๆ คำวินิจฉัยศาล รธน.ฟัน "พิเชษฐ์" แปรงบลงพื้นที่ตัวเอง คำให้การลูกน้องมัดแน่น ลูกพี่คิดลูกพี่สั่ง

Manager Online

อัพเดต 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 13 ชั่วโมงที่ผ่านมา • MGR Online

เปิดรายละเอียดคำวินิจฉัยศาล รธน.ฟัน "พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน" พ้นตำแหน่ง สส.-รองประธานสภา สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครเลือกตั้ง 10 ปี พร้อมสั่งล้ม 3 โครงการ ปมผันงบโครงการลงพื้นที่เชียงราย ฐานเสียงตัวเอง เอื้อเลือกตั้งครั้งหน้า ชี้คำให้การลูกน้องมัดแน่น ลูกพี่คิดลูกพี่สั่ง วันนี้( 1 ส.ค 68) ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยโดยมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 วินิจฉัยว่านายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 กระทำการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง เป็นเหตุให้สมาชิกภาพความเป็น สส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (11) และสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี จากเหตุแปรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี 2569 ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายซึ่งเป็นพื้นที่ของตนเอง

โดยคำวินิจฉัยระบุว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ถูกร้องได้รับเลือกตั้งเป็น ส.สแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง สังกัดพรรคเพื่อไทยจังหวัดเชียงราย เขตที่ 7 ประกอบด้วยพื้นที่อำเภอแม่จัน อำเภอดอยหลวง อำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ และอำเภอเวียงแก่น ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 5 ก.ค.2566 มี พระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง ผู้ถูกร้อง เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ต่อมาที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลงมติเลือก รองประธานสภาแทนตำแหน่งที่ว่าง และเมื่อวันที่ 13 ก.ย.2567 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งผู้ถูกร้องเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1

ก่อนการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ผู้ถูกร้องขณะดำรงตำแหน่งประธานสภาคนที่ 2 มีดำริให้เจ้าหน้าที่จัดทำโครงการ สนับสนุนและส่งเสริมประชาชน ที่ ร้องข้อร้องเรียนผ่านการพิจารณาของประธานสภารัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 4 โครงการ โดยมอบหมาย ให้นายจิรพงษ์ วัฒนรัตน์ ซึ่งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาคณะทำงาน ทางการเมืองของผู้ถูกร้องดำเนินการ ต่อมา สำนักนโยบายและแผนมีหนังสือ หารือ สำนักกฎหมาย

ปรากฏว่าการจัดทำโครงการดังกล่าวมีวิธีการดำเนินการในรูปแบบให้ทุน และเงินช่วยเหลือน่าจะขัดต่อกฎหมาย ทั้งยังสุ่มเสี่ยง ต่อการฝ่าฝืน บทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญมาตรา 144 เจ้าหน้าที่ปรับเปลี่ยนโครงการดังกล่าว ให้เหลือเพียงจำนวน 3 โครงการคือ (1) โครงการ พัฒนาศักยภาพเยาวชนและประชาชน ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยหรือที่เรียกว่าโครงการเยาวชน (2) โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่เรียกว่าโครงการประชาชน (3) โครงการส่งเสริมบทบาทสตรีทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือที่เรียกว่าโครงการสตรี รวมวงเงินงบประมาณของโครงการทั้ง 3 อยู่ที่จำนวน 343 ล้านบาทแต่ได้รับการจัดสรรจริงทั้งสิ้นจำนวน 178,125,000 บาท

โครงการทั้ง 3 มีลักษณะ การจัดกิจกรรมการฝึกอบรม การฝึกอาชีพ ผู้ถูกร้องลงนามเสนอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นชอบคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณพ.ศ 2568 ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร การดำเนินการ โครงการทั้ง 3 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ บริหารโครงการ โดยผู้ถูกร้องเป็นที่ปรึกษาและกรรมการมีหน้าที่และอำนาจในการจัดโครงการ กำกับดูแลและพิจารณาคำขอให้มีการจัดสัมมนาในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีการจัด สัมมนาขึ้นที่จังหวัดเชียงราย และจังหวัดอื่นๆ ทั้งนี้มีการจัดกิจกรรม โครงการสตรีจังหวัดเชียงราย จำนวน 8 รุ่น ในปีงบประมาณ 2569 ผู้ถูกร้องเห็นชอบ ให้เจ้าหน้าที่กลุ่มงาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎรจัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ 2569 โครงการเยาวชน โครงการประชาชนและโครงการสตรี เพื่อเสนอของบประมาณ ต่อมามีการแก้ไขรายละเอียด คำของบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณพ.ศ. 2569 ของโครงการทั้ง 3 โดยเปลี่ยนชื่อ โครงการโดยตัด ถ้อยคำ "สัมมนาหรืออบรมออก" ซึ่งคณะรัฐมนตรีปรับลดวงเงิน งบประมาณของโครงการทั้ง 3 สำนักนโยบายและแผนมีหนังสือแจ้งเวียนหน่วยงานภายในเพื่อให้เสนอคำขอแปรญัตติ กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 มีหนังสือถึง ผู้ถูกร้องสอบถามว่าจะ เสนอคำแปรญัตติดังกล่าวหรือไม่ ผู้ถูกร้องลงนาม ในหนังสือดังกล่าวโดยปรากฏข้อความว่า "ให้เสนอคำแปรญัตติตาม ตามบันทึกข้อความลงวันที่ 13 พ.ค.2568"

ต่อมาเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2568 ผู้ร้องเสนอความเห็นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสาม เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 144 วรรคสาม ในคดีนี้ และเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2568 สำนักนโยบายและแผนได้มีหนังสือ ต่างๆที่เกี่ยวข้องที่ต้องการเสนอคำขอแปรญัตติรวมถึง กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ด้วย ว่าการเสนอคำแปรญัตติจะต้องไม่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ปรากฏ ข้อความในบันทึกข้อความลงวันที่ 25 มิ.ย.2568 ซึ่งกลุ่มงาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 มีหนังสือถึงผู้อำนวยการ สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า ไม่ประสงค์จะเสนอคำแปรญัติโครงการทั้ง 3 ดังกล่าว สำนักนโยบายและแผนมีหนังสือถึง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอคำขอแปรญัตติ เพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ 2569 ในการประชุมคณะกรรมการนโยบาย และแผนการบริหารราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 3/2568 มีหน่วยงานขอยกเลิกคำขอแปรญัตติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 จำนวน 10 รายการ รวมถึงโครงการทั้ง 3 ด้วย ปรากฏข้อความในบันทึกข้อความลงวันที่ 3 ก.ค. 2568 และวันที่ 18 ก.ค 2568 คณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ 2569 สภาผู้แทนราษฎร พิจารณา คำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ 2569 ของโครงการทั้ง 3 ปรากฎตามวาระการประชุมคณะกรรมาธิการฯ วันที่ 28 ก.ค 2568 ซึ่งคู่กรณีและพยานเบิกความสอดคล้องต้องกัน ว่าเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรขอเสนอถอนโครงการ ทั้ง 3 ออกจากคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ ประมาณพ.ศ 2569 และคณะกรรมาธิการมีมติให้ปรับลดงบประมาณทั้งหมด ของโครงการทั้ง 3 ถือว่าเป็นการยกเลิกคำของบประมาณในโครงการ ทั้ง 3 ออกจาก ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ 2569

ข้อพิจารณาเบื้องต้นมีว่า กรณีสำนักงาน เลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎรขอถอนโครงการออกจาก งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณพศ 2569 ศาลรัฐธรรมนูญ ต้องมีสั่งจำหน่ายคดี เพราะไม่มี เหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยคดีต่อไปหรือไม่ ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่าในชั้นการพิจารณาของ คณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2569 กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอถอนโครงการทั้ง 3 และเลขา สำนักงาน สภาผู้แทนราษฎรขอปรับลดงบประมาณโครงการทั้ง 3 เหลือ 0 บาท ซึ่งมีผลในการยกเลิกโครงการทั้ง 3 ออกจาก คำขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ 2569 แม้ว่าโครงการทั้ง 3 อันเป็นมูลเหตุแห่งคดีนี้ สิ้นผลแล้วก็ตาม แต่ไม่มีผลทำให้การกระทำ อันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นถูกลบล้างไป และ ไม่มีผลต่อการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ต้องพิจารณาว่าเป็นการกระทำฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 144 วรรคสอง หรือไม่ประกอบกับ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสาม บัญญัติให้การกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง เป็นอันสิ้นผลแล้ว

แต่บทบัญญัติมาตรการลงโทษสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภาผู้ทำการดังกล่าว ดังกล่าว ให้สิ้นสุดสมาชิกภาพ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง เพิ่มเติมจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 180 วรรคเจ็ด และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ 2550 มาตรา 168 วรรคเจ็ด ที่บัญญัติให้เฉพาะการกระทำดังกล่าว เป็นอันสิ้นผลเท่านั้น จึงมีเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยต่อไป

ประเด็นที่ 1 ผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอแปญัตติหรือกระทำด้วยประการใดๆในโครงการทั้ง 3 หรือไม่ ข้อพิจารณาประการแรกมีว่าผู้ถูกร้องเป็นผู้สั่งการให้เสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ หรือคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของโครงการทั้ง 3 หรือไม่ ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าในการเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2568 ผู้ถูกร้องมอบหมายให้นายจิรพงศ์ วัฒนรัตน์ ที่ปรึกษาคณะทำงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ดำเนินการจัดทำโครงการ และผู้ถูกร้องลงนามให้ความเห็นชอบในโครงการในการจัดทำโครงการทั้ง 3 เมื่อมีการเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2569 ในชั้นการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีมีการปรับลดวงเงินงบประมาณ ผู้ถูกร้องลงนามให้เสนอคำแปรญัตติ ผู้ถูกร้องชี้แจงว่า ผู้ถูกร้องไม่เคยสั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดทำโครงการเพื่อเสนองบประมาณหรือแปรญัตติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณผู้ถูกร้องเพียงแค่มอบนโยบายให้กับสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้งผู้ถูกร้องลงนามในบันทึกข้อความแต่ไม่ได้เขียนข้อความว่าให้เสนอคำแปรญัตติ และไม่ได้ประทับตราคำว่าเห็นชอบ แต่เป็นบุคคลอื่นเขียนข้อความและประทับตราดังกล่าว

พยานบุคคลนายจิรพงศ์ เบิกความยอมรับว่าผู้ถูกร้องมีดำริให้ดำเนินโครงการทั้ง 3 โดยมอบหมายให้ตนเองเป็นผู้ดำเนินการ เจือสมกับคำเบิกความของนายธีรวัฒน์ เอื้อพอพล และนายนาถะ ดวงวิชัย เบิกความสอดคล้องกันว่าในการเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2568 เจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร หารือกับผู้ถูกร้องก่อนเสนอหรือแปรญัตติโครงการทั้ง 3 ซึ่งผู้ถูกร้องมีดำริให้เสนอและแปรญัตติ

สำหรับการเสนอของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 นายวรพงษ์ แพรม่วง นายธีรวัฒน์ เอื้อพอพล และนายนาถะ เบิกความสอดคล้องกันว่า ปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ 2569 กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ได้สอบถามไปยังผู้ถูกร้องว่าประสงค์จะดำเนินโครงการทั้ง 3 ดังกล่าวต่อเนื่องหรือไม่ และผู้ถูกร้องมีดำริให้จัดทำดำเนินโครงการทั้ง 3 ต่อ นายธีรวัฒน์ เบิกความยอมรับว่า การเสนอบันทึกข้อความกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎรลงวันที่ 13 พ.ค.2568 ตนเขียนข้อความว่าให้เสนอคำแปรญัตติหลังจากที่ได้รับดำริจากผู้ถูกร้องให้เสนอคำแปรญัตติแล้ว ว่าที่ร้อยตรีอาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เบิกความว่า กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ไม่จำเป็นต้องเสนอคำของบประมาณ และเสนอคำขอแปรญัตติต่อผู้ถูกร้องเพื่อให้ความเห็นชอบก็ได้ โดยกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 สามารถส่งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณและโครงการแต่ละโครงการไปยังสำนักนโยบายและแผน เพื่อรวบรวมของทุกส่วนราชการภายในและเสนอเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบ ก่อนเสนอไปยังประธานรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนาม และส่งไปยังสำนักงบประมาณต่อไป ซึ่งกลุ่มงานอื่นๆก็สามารถขอแปรญัตติได้เอง เป็นเรื่องปกติตามวิธีการเสนอของบประมาณ

พิจารณาแล้วเห็นว่าตามบันทึกข้อความกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎรลงวันที่ 13 พ.ค.2568 เกี่ยวกับการเสนอคำขอการแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2569 ของโครงการทั้ง 3 ปรากฏข้อความที่เขียนด้วยลายมืออยู่เหนือลายมือชื่อของผู้ถูกร้องสอดคล้องกับบันทึกข้อความกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่ลงวันที่เดือนธันวาคม 2567 เกี่ยวกับคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ของโครงการทั้ง 3 ซึ่งเอกสารทั้ง 2 ฉบับ มีลายมือชื่อ มีลายมือของข้อความที่แตกต่างกัน ประกอบกับนายธีรวัฒน์ เบิกความว่าตนเป็นคนเขียนข้อความลงในบันทึกข้อความกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 13 พ.ค.2568 จึงรับฟังได้ว่าเมื่อผู้ถูกร้องลงลายมือชื่อเพียงประการเดียวโดยไม่ได้เขียนข้อความแต่การลงลายมือชื่อในเอกสารราชการนั้นย่อมต้องพิจารณาข้อความของเอกสารก่อน ประกอบกับผู้ถูกร้องมีตำแหน่งเป็นถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วตั้งแต่ปีพ.ศ.2566 ย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าการลงลายมือชื่อในเอกสารหมายความว่าเห็นด้วยกับข้อความในเอกสาร หากไม่เห็นด้วยย่อมสั่งให้มีการแก้ไข ดังนั้นการลงลายมือชื่อ แม้ไม่ใช่เขียนข้อความย่อมหมายความว่าเห็นด้วยกับเอกสารดังกล่าว ประกอบกับที่นายธีรวัฒน์ และนายนาถะ เบิกความสอดคล้องต้องกันว่าเอกสารดังกล่าวเป็นไปตามที่ได้หารือกับผู้ถูกร้องก่อนแล้ว อีกทั้งนายวรพงษ์ เบิกความว่าเจ้าหน้าที่กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ที่เสนอเอกสารตามลำดับสายการบังคับบัญชา โดยยังไม่มีข้อความดังกล่าว แต่หน่วยธุรการจะรับเอกสารไปเสนอต่อผู้ถูกร้องอีกชั้นหนึ่ง ส่วนกรณีที่ไม่ปรากฏการออกเลขหนังสือในเอกสารดังกล่าว ตามระบบราชการเป็นเพียงข้อบกพร่องหรือแนวทางปฏิบัติงานภายในของกลุ่มงานหรือสำนักงานนั้น ไม่มีผลทำให้เอกสารไม่สมบูรณ์ จึงฟังได้ว่าผู้ถูกร้องเห็นชอบให้แปรญัตติโครงการทั้ง 3

ข้อพิจารณารายการที่ 2 มีว่า มีการกระทำหรือพฤติกรรมที่ผู้ถูกร้องเกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรมตามโครงการทั้ง 3 หรือไม่ ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าหลังจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 บังคับใช้ การดำเนินการของโครงการทั้ง 3 มีคำสั่งเมื่อวันที่18 พ.ย.2567 แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการในแต่ละโครงการได้แก่ 1.คณะกรรมการบริหารโครงการเยาวชนตามคำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 77/2567 2.คณะกรรมการบริหารโครงการประชาชนตามคำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 78/2567 และ 3.คณะกรรมการบริหารโครงการสตรีตามคำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 79/2567 เพื่อให้สามารถบริหารจัดการโครงการสัมมนาตามหน้าที่และอำนาจพิจารณาดำเนินการจัดโครงการกำกับดูแลพิจารณาบริหารจัดการคำขอของแต่ละพื้นที่ที่ได้ยื่นความประสงค์ขอให้จัดโครงการสัมมนา โดยผู้ถูกร้องเป็นที่ปรึกษาและกรรมการตามคำสั่งแต่งตั้งของโครงการทั้ง 3

การจัดกิจกรรมของโครงการทั้ง 3 คณะกรรมการบริหารโครงการจะพิจารณาจากคำขอรับความอนุเคราะห์อีกทั้งพิจารณาความพร้อมของเจ้าหน้าที่และสถานที่ในการจัดกิจกรรม โดยประชาชนจะยื่นคำขอการจัดกิจกรรมต่อผู้ถูกร้อง เพื่อให้ผู้ถูกร้องเสนอคำขอจัดกิจกรรมดังกล่าวต่อคณะกรรมการบริหารโครงการแต่ละโครงการเพื่อพิจารณาคัดเลือก รวมจำนวนจัดโครงการ 440 คำขอ มีคำขอจากโครงการถึง 298 คำขอที่เป็นคำขอจัดโครงการในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 7 อันเป็นพื้นที่ในเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง และการจัดกิจกรรมโครงการทั้ง 3 ในเบื้องต้นได้กำหนดจัดกิจกรรมในพื้นที่นำร่อง ณ จังหวัดเชียงราย

ผู้ถูกร้องชี้แจงว่าการดำเนินการในโครงการทั้ง 3 ดำเนินการโดยคณะกรรมการบริหารโครงการตามคำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 77/2567 78/2567 และ 79/2567 ที่ผู้ถูกร้องเป็นที่ปรึกษาและกรรมการ แต่ผู้ถูกร้องไม่ได้เข้าไปมีส่วนทั้งทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2568 เพื่อที่ผู้ถูกร้องจะได้นำงบประมาณไปใช้ประโยชน์ในการหาเสียงสร้างความนิยมให้กับตัวเองในเขตเลือกตั้งตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง อีกทั้งการดำเนินโครงการใดๆขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการที่ได้รับแต่งตั้ง ผู้ถูกร้องจึงไม่ได้มีอำนาจให้ความเห็นชอบเข้าไปสั่งการหรือมีส่วนร่วมเข้าไปพิจารณาคำขอให้มีการดำเนินการตามโครงการต่างๆ ลงไปในพื้นที่ใดๆ หรือในเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้องเพื่อสร้างความนิยมให้แก่ตนเอง การประชาสัมพันธ์โครงการเป็นเรื่องของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่มีหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในหลายช่องทาง โดยเฉพาะสื่อของสภาผู้แทนราษฎรที่กระจายข่าวไปยังทั่วประเทศโดยไม่เจาะจงพื้นที่ในพื้นที่หนึ่ง สำหรับการดำเนินกิจกรรมที่จัดขึ้นจริงโครงการประชาชนดำเนินโครงการไปแล้ว 9 ครั้ง โดยจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงรายจำนวน 1 ครั้ง จังหวัดอื่นๆจังหวัดละ 1-5 ครั้งโครงการเยาวชนดำเนินการไปแล้ว 9 ครั้งโดยจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงรายจำนวน 2 ครั้ง จังหวัดอื่นๆจังหวัดละ 1-2 ครั้ง โครงการสตรีดำเนินการไปแล้วจำนวน 1 ครั้งที่จังหวัดเชียงราย

พยานบุคคลนายวรพงษ์ นายธีรวัฒน์ และนายนาถะ เบิกความสอดคล้องกันว่า วิธีการคัดเลือกพื้นที่ทำกิจกรรมของผู้เข้าร่วมโครงการพิจารณาจากคำขอด้านเวลา และข้อจำกัดด้านบุคลากรสำนักงานสภาผู้แทนราษฎร กิจกรรมของทั้ง 3 โครงการในเขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดเชียงราย เนื่องจากมีเหตุผล ด้านความคุ้มค่า โดยการรวบรวมคำขอเข้าร่วมโครงการหลายคำขอมาร่วมจัดสัมมนาในคราวเดียวกัน และกำหนดแบ่งเป็นแต่ละรุ่น เพราะเจ้าหน้าที่มีจำนวนไม่เพียงพอต่อจัดโครงการทั้งหมด ตามคำขอ และมีเวลาที่จะดำเนินการได้แค่ในช่วงราชการ วันเสาร์และวันอาทิตย์

ว่าที่ร้อยตำรวจตรีอาพัทธ์ เบิกความว่า ผู้ถูกร้องมีดำริให้จัดโครงการ 3 ทั่วประเทศ กระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ โดยให้ประชาชนในท้องที่ หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือกรรมาธิการยื่นคำขอให้พาผู้แทนราษฎรไปจัดกิจกรรมตามโครงการทั้ง 3 นายนาถะ เบิกความว่า การจัดสัมมนาโครงการประชาชนที่กรุงเทพมหานคร จัดตามคำขอผ่านคณะกรรมาธิการกิจการสภา นางวรรณฤทัย สงวนรักษ์เบิกความว่า การเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของรัฐสภาที่รวบรวมมา สำนักงานนโยบายและแผน เป็นขั้นตอนเพื่อให้วิเคราะห์วัตถุประสงค์ และสอดคล้องกับภารกิจสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งการเสนอโครงการทั้งสามในชั้นของบประมาณยังไม่จำเป็นต้องจัดทำแผนการใช้งบประมาณ หรือแผนการดำเนินงาน โดยละเอียด เพียงระบุข้อมูลกิจกรรมที่คาดว่าจะดำเนินการโดยย่อ เช่น ระบุว่าจะจัด 5 ภูมิภาค ทั่วประเทศก็เพียงพอ เพราะงบประมาณตามคำขออาจแตกต่างไปจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณที่ได้รับจัดสรร ซึ่งส่วนราชการจะต้องทบทวนโครงการ เพื่อวางแผนในรายละเอียดให้สอดคล้องกับงบประมาณที่ได้รับจัดสรรจริง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คำขออนุเคราะห์ตามโครงการทั้งสามพิจารณาคัดเลือกโดยคณะกรรมการบริหารโครงการที่มีผู้ถูกร้องเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการ และการดำเนินโครงการทั้งสามจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย และจังหวัดอื่น ประกอบกับตามบันทึกการประชุมระหว่างประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่2/2567 เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2567 ผู้ถูกร้องเข้าร่วมประชุม และปรากฏข้อความในการประชุมเกี่ยวกับโครงการสตรี ว่าสำหรับความคืบหน้าการดำเนินการในเบื้องต้นได้จัดกิจกรรมในพื้นที่นำร่องจังหวัดเชียงราย ในช่วงกลางเดือนม.ค. 2568 โดยกิจกรรมอื่นๆอยู่ในระหว่างการพิจารณาศึกษารูปแบบ และรายละเอียดจากคำขอของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อไป รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง นายพิเชษฐ์ กล่าวต่อที่ประชุมว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการใหม่ โดยมุ่งจัดกิจกรรมตามคำเรียกร้องจากประชาชน ชุมชน โรงเรียน จากพื้นที่ต่างๆ โดยประสานงานผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพื้นที่ต่างๆ จึงฟัง ได้ว่าโครงการทั้งสามเป็นโครงการที่จัดทำขึ้นมาโดยผู้ถูกร้องมีส่วนในการพิจารณาดำเนินโครงการ และมุ่งเน้นดำเนินการในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเขตพื้นที่เลือกตั้ง ของผู้ถูกร้องทำให้มีพฤติการณ์ และการกระทำผู้ถูกร้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการทั้งสาม

ข้อเท็จจริงประการที่ 3 มีว่า โครงการทั้งสามในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ2569 จะดำเนินการในรูปแบบเดียวกันกับโครงการ ปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ2568 หรือไม่ ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า สำนักงานสภาผู้แทนราษฎรได้จัดทำคำของบประมาณที่มีลักษณะโครงการลักษณะเดียวกันกับโครงการทั้งสาม ตามงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ผู้ถูกร้องชี้แจงว่า การทำคำขอเสนอโครงการทั้งสาม ประจำปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 สำนักงานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้จัดทำคำของบประมาณในลักษณะเดียวกันกับโครงการตามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568

พยานบุคคลนางวรรณฤทัย เบิกความว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 พิจารณาภายในเริ่มตั้งแต่เดือนต.ค. 2566 และดำเนินการส่งสำนักงานนโยบานและแผน ภายในเดือนพ.ย. 2566 เพื่อรวบรวมเสนอสำนักงบประมาณภายในเดือนม.ค. 2567 ส่วนปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ส่วนราชการภายในเริ่มพิจารณาตั้งแต่เดือนต.ค. 2567 และดำเนินการส่งสำนักนโยบายและแผน ภายในเดือนพ.ย.2567 เพื่อรวบรวมเสนอสำนักงบประมาณภายในเดือนม.ค.2568 ทั้งนี้ ตามกรอบปฏิทินงบประมาณโครงการทั้งสามที่เสนอในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 เพื่อความต่อเนื่องสำหรับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการเป็นหน้าที่ของส่วนราชการภายใน ผู้รับผิดชอบพิจารณาประเมินผล หรือสำรวจความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมโครงการ

นายวรพงศ์ นายธีรวัฒน์ และนายนาถะ เบิกความสอดคล้องกันว่า กระบวนการเสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569 ของโครงการทั้ง 3 ไม่มีความแตกต่างในสาระสำคัญจากโครงการในปีงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณพ.ศ.2568 เนื่องจากเป็นโครงการต่อเนื่องกันตามดำริของผู้ถูกร้อง โดยโครงการทั้ง 3 ที่เสนอในปีงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณพ.ศ.2569 ยังคงมีหลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ ระยะเวลา การดำเนินโครงการ เป้าหมาย ผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบของโครงการตามแผนการปฏิบัติงานและแผนใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงรูปแบบการจัดกิจกรรมต่างๆ รายละเอียดงบประมาณและรายการค่าใช้จ่ายต่างๆเหมือนกัน

โครงการทั้ง 3 ที่เสนอในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 มีเพียงการแก้ไขจำนวน วงเงินงบประมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าร่วมกิจกรรมมากขึ้นและแก้ไขรายละเอียดย่อยของกิจกรรม โดยตัดคำว่า“สัมมนาและอบรม”ออก เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และความหลากหลายของกิจกรรม

นอกจากนี้ นายกุลพล วชิรกาฬ เบิกความว่าก่อนที่จะเป็นโครงการทั้ง 3 นั้นกลุ่มงานรองประธานสภาฯคนที่ 1 เสนอโครงการจำนวน 4 โครงการ สำนักนโยบายและแผน มีข้อหารือเกี่ยวกับทั้ง 4 โครงการ มายังสำนักกฎหมายและสำนักกฏหมายมีความเห็นว่าโครงการทั้ง 4 มีลักษณะเป็นการให้ทุนที่จัดทำมิได้

ส่วนที่ให้ความเห็นว่าโครงการทั้ง 4 สุ่มเสี่ยงที่จะฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 เป็นเพียงข้อสังเกตเผื่อไว้ในกรณีที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสส.เป็นผู้ดำเนินการตามโครงการเอง โดยมิใช่การให้ความเห็นในข้อหารือโดยตรง เนื่องจากโครงการทั้ง 4 ริเริ่มมาจากกลุ่มงานรองประธานสภาฯ คนที่ 1 และป้องกันมิให้เกิดเหตุในภายหน้า หลังจากนั้นมีการปรับโครงการทั้ง 4 เป็นโครงการทั้ง 3 โครงการที่มีรูปแบบเป็นการจัดสัมมนาอบรม ซึ่งข้อเท็จจริงฟังได้ว่าตามคำร้องปรากฏเอกสารคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 ของโครงการทั้ง 3 ข้อ 2.10 แผนงบประมาณและกิจกรรมดำเนินงาน ปรากฏตารางคอลัมน์ ปี 2568 ปี 2569และปี 2570 ซึ่งในคอลัมน์ปี2568 ระบุจำนวนเงิน แต่คอลัมน์ปี 2569และปี 2570 ไม่ระบุจำนวนเงิน

แสดงให้เห็นว่าโครงการทั้ง 3 มีวัตถุประสงค์จัดทำขึ้น เป็นโครงการต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2568-2570 แม้คำขอตั้งงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 โครงการทั้ง3 จะไม่ได้ระบุพื้นที่ที่คาดว่าจะดำเนินกิจกรรม แต่จากการเบิกความของพยานดังกล่าวประกอบกับบันทึกคำเบิกความพยานที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้ถูกร้องไม่ได้หักล้างให้การเป็นอย่างอื่น ทั้งยังยอมรับเช่นเดียวกัน จึงฟังได้ว่ารูปแบบการดำเนินกิจกรรมของโครงการทั้ง 3 ในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณพ.ศ. 2569 จะดำเนินการในรูปแบบเดียวกันกับปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 ในลักษณะทำนองเดียวกันกับโครงการต่อเนื่อง ซึ่งหมายความรวมถึงพื้นที่ที่จะดำเนินกิจกรรมเช่นเดียวกันด้วยดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ได้จากข้อพิจารณาทั้ง 3 ประการดังกล่าว ในประเด็นที่ 1 มีน้ำหนักรับฟังสอดคล้องกันว่าผู้ถูกร้อง เห็นชอบให้อนุมัติสั่งการให้เสนอ หรือแปรญัตติโครงการทั้ง 3 ซึ่งเป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อให้สส.หรือผู้เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดำเนินการที่นำไปสู่การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการโดยมุ่งเน้นดำเนินการในเขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง และรูปแบบการดำเนินการของโครงการที่ 3 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จะดำเนินการในรูปแบบเดียวกันปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 ในลักษณะทำนองเดียวกันกับโครงการต่อเนื่อง ทำให้มีพฤติการณ์หรือการกระทำที่ผู้ถูกร้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการทั้ง 3

ประเด็นที่ 2 มีการเสนอการแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่ายอันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง และให้การเสนอการแปรญัตติหรือการกระทำดังกล่าวเป็นอันสิ้นผลหรือไม่ หากผู้ถูกร้องเป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง จะทำให้สมาชิกของ สส.ของผู้ถูกร้องสิ้นสุดนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และจะถูกเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง ตามมาตรา144 วรรคสาม หรือไม่เพียงใด

เห็นว่าการเป็นสส.ถือเป็นผู้แทนของปวงชน ของประชาชนทั้งประเทศ สถานะของการเป็นสส.ไม่ได้เป็นผู้แทนเฉพาะพื้นที่หรือกลุ่มบุคคลที่เลือกตนเองเท่านั้น ไม่ว่าสส.นั้นจะได้เลือกตั้งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตหรือการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อและไม่ว่า จะมาจากเขตเลือกตั้งใดในจังหวัดใดสส.ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฏหมายและหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยส่วนรวม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรค และมาตรา 114

สำหรับการพิจารณาว่า สส.มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณ รายจ่ายหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสองแยกการพิจารณาได้เป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 การมีส่วนร่วมในการใช้งบประมาณรายจ่ายโดยทางตรง สส.จะต้องเป็นผู้ใช้งบประมาณรายจ่ายด้วยตนเอง และกรณีที่ 2 การมีส่วนร่วมในการใช้งบประมาณรายจ่าย โดยทางอ้อมนั้น หมายถึงการมีส่วนร่วมในการใช้งบประมาณรายจ่ายที่อาจกระทำได้ในลักษณะของคณะบุคคล หรือคณะกรรมการโดยสส.เป็นส่วนหนึ่งของคณะบุคคลหรือคณะกรรมการดังกล่าว และการมีส่วนได้เสียที่มีลักษณะเป็นการได้รับประโยชน์จากใช้งบประมาณนั้น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะบุคคลที่เป็นสส.นั้นเองที่ไปกระทำหรือได้รับประโยชน์แต่รวมถึงคู่สมรส หรือบุตร หรือบุคคล หรือแม้แต่บุคคลที่ไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์ส่วนตัวซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปกระทำการแทนด้วย รวมทั้งจะต้องพิจารณาตามหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ว่า มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวมของผู้มีหน้าที่ในการพิจารณาหรือดำเนินการในเรื่องนั้นๆต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่าผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎร 2 สถานะคือ สถานะเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1และสถานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การใช้อำนาจของผู้ถูกร้องในการดำริให้เสนอคำขอจากสำนักงบประมาณ หรือคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณในโครงการทั้ง 3 เป็นการใช้อำนาจของรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 โดยรัฐธรรมนูญมาตรา 116 บัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่ละสภามีประธานสภาคนหนึ่งและรองประธานสภาคนหนึ่งหรือสองคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมติของสภาสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญมาตรา 118 ประธานฯและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรย่อมพ้นจากตำแหน่งเมื่อขาดจากสมาชิกภาพแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก

มาตรา 119 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่และอำนาจดำเนินกิจการของสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นไปตามข้อบังคับรองประธานสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่และอำนาจตามที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรมอบหมายตามรัฐธรรมนูญซึ่งหมายความว่า บุคคลที่ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องมีสถานะพื้นฐานมาจากความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีหน้าที่และอำนาจในเชิงบริหารเพื่อดำเนินกิจการของสภาผู้แทนราษฎรตามที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรมอบหมาย ทั้งนี้การปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจของรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องไม่ขัดต่อสถานะพื้นฐาน ความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ซึ่งรวมถึงบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง การใช้อำนาจของรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ต้องไม่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาหรือกรรมาธิการผู้ใดซึ่งรวมถึงผู้ถูกร้องในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายที่ผู้ถูกร้องเสนอ แปรญัตติ หรือกระทำการด้วยการใดๆนั้นด้วย หากผู้ถูกร้องกระทำการดังกล่าวเพื่อให้ตนเองมีส่วนได้เสียในการใช้งบประมาณดังกล่าวย่อมเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์สาธารณะ ทั้งนี้มีข้อยกเว้นที่ไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 185 วรรคสอง

ซึ่งมาตรา185 บัญญัติว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภากระทำการใดๆอันมีลักษณะที่เป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่นหรือของพรรคการเมืองไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในเรื่องต่อไปนี้(2)กระทำการในลักษณะที่ทำให้ตนมีส่วนร่วมในการใช้จ่ายเงินงบประมาณหรือให้ความเห็นชอบในการจัดทำโครงการใดๆของหน่วยงานของรัฐเว้นแต่เป็นการดำเนินการในกิจการของรัฐสภา ข้อเท็จจริงปรากฏว่าวันที่มีคำของบประมาณ หรือแปรญัญติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ 2569 ของผู้ถูกร้องเกี่ยวกับโครงการทั้ง 3 ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 รวมทั้งที่ปรึกษาและกรรมการในคณะกรรมการบริหารโครงการทั้ง 3 ตามคำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 77/2567 คำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 78/2567 และคำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 79/2567 ลงวันที่เดียวกันคือวันที่ 28 พ.ย. 2567 ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในส่วนเกี่ยวข้องในการพิจารณาและคัดเลือกพื้นที่โครงการทั้ง 3 จะไปดำเนินการกิจกรรมตามคำขอรับการสนับสนุนจากพื้นที่ต่างๆเมื่อผู้ถูกร้องเป็นผู้ดำริให้เสนอโครงการทั้ง 3 และผู้ถูกร้องตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เชื่อว่าย่อมใช้อำนาจให้ข้าราชการแต่ละคน แต่ละคณะอนุมัติโครงการในเขตพื้นที่เลือกตั้งของผู้ถูกร้องได้

การดำเนินโครงการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องมีเจตนาเพื่อนำงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินไปใช้ประโยชน์ในการหาเสียงหรือสร้างความนิยมให้แก่ผู้ถูกร้องในเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง อันเป็นการกระทำที่เป็นลักษณะการใช้สถานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อประโยชน์ของตนเองในการหาเสียงหรือสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้งของตน

เมื่อผู้ถูกร้องขอตั้งงบประมาณในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ. 2569 เพื่อจะทำโครงการทั้ง 3 ต่อเนื่องจากปีงบประมาณพ.ศ.2568 แสดงให้เห็นเจตนาของผู้ถูกร้องว่าต้องการใช้งบประมาณเช่นเดียวกับการใช้งบประมาณในปีงบประมาณพ.ศ 2538 ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการหาเสียงหรือสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องอันจะทำให้ผู้ถูกร้อง บุคคลอื่นหรือพรรคการเมืองที่ผู้ถูกร้องสังกัดได้รับประโยชน์ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งต่อไปถือได้ว่าผู้ถูกร้องทำการเสนอและแปรญัตติโครงการทั้ง 3 ที่มีผลให้ผู้ถูกร้องมีส่วนไม่ว่าโดยตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ 2569มิใช่เป็นเพียงการดำเนินการราชการประจำปกติในกิจการของรัฐสภาไม่เข้าข้อยกเว้นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 185 (2)ผู้ถูกร้องจึงเป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญต้องสั่งให้ผู้ถูกร้องสิ้นสุดสมาชิกภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยคือวันที่ 1 สิงหาคม 2568 และเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง

เมื่อสมาชิกภาพของสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงทำให้มีตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งว่างลง ทำให้ต้องมีการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างภายใน 45 วันนับแต่วันที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 105 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 102 จึงให้ถือว่าวันที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลงคือวันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยให้แก่คู่กรณีโดยชอบตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ 2561 มาตรา76วรรคหนึ่งที่บัญญัติให้คำวินิจฉัยของศาลมีผลในวันอ่านคือวันที่ 1 สิงหาคม 2568

มีประเด็นพิจารณาต่อไปว่าเมื่อวินิจฉัยให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้องแล้วจะต้องเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็นระยะเวลาเท่าใด เห็นว่า การกำหนดระยะเวลาของการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสิทธิทางการเมืองอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งแก่ผู้อาสาเข้ามาทำประโยชน์แก่บ้านเมืองในฐานะผู้รับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องพิจารณาให้เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วนพอเหมาะพอควรระหว่างพฤติการณ์ และความร้ายแรงแห่งการกระทำให้ได้สัดส่วนกับโทษที่จะได้รับซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิของบุคคลเมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ.2569 อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2569 สภาผู้แทนราษฎรยังมิได้มีผลบังคับใช้ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อการใช้งบประมาณของแผ่นดินจึงให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้องมีกำหนดเวลา 10 ปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย

อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงวินิจฉัยว่าผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง ให้การเสนอการแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใดๆเกี่ยวกับโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนและประชาชนในการปกครองระบอบประชาธิปไตย โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และโครงการส่งเสริมบทบาทสตรีทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในงบประมาณพ.ศ 2569 เป็นอันสิ้นผลและวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสาม นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย คือวันที่ 1 ส.ค. 2568 และให้ถือว่าวันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยให้แก่คู่กรณีฟังโดยชอบตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2561มาตรา 76วรรคหนึ่งที่บัญญัติให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลในวันอ่านคือวันที่ 1 ส.ค. 2568เป็นวันที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งว่างลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 105วรรคหนึ่ง(1)ประกอบมาตรา 102และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้องมีกำหนด 10 ปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย

สำหรับตุลาการเสียงข้างน้อย 3 เสียง กระทำที่เห็นว่าการกระทำของนายพิเชษฐ์ ไม่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง ประกอบด้วยนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม และนายอุดม รัฐอมฤต

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Manager Online

“หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และนิ่วในท่อไต พูดน่าห่วง “ไปที่ชอบที่ชอบเร็วๆ นี้”

37 นาทีที่แล้ว

บึงบอระเพ็ดพลิกโฉม! ต้นแบบจัดการน้ำ-นาข้าวรักษ์โลก แก้ขัดแย้งหน่วยงาน ปั้นชุมชนอยู่ร่วมป่าอย่างยั่งยืน

38 นาทีที่แล้ว

เอ็มจี ยอดขายครึ่งปีโต 28% – เดินหน้าสร้างระบบ EV Ecosystem รองรับอนาคต

50 นาทีที่แล้ว

หยุดแบนโค้กเดี๋ยวนี้! ไทยน้ำทิพย์-หาดทิพย์ไม่เกี่ยวข้องแร็พกัมพูชา แถมช่วยเหลือทุกภัยพิบัติ

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

รัฐบาล ชื่นชม ปภ.ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุปะทะ

สำนักข่าวไทย Online

ลุยเพิกถอนที่ดิน “เขากระโดง” ขณะอธิบดีกรมที่ดินชิงย้ายตัวเอง

ข่าวช่องวัน 31

สภากทม. ถกงบปี 69 ร่ายยาว 6 ชม. ส.ก. ชี้ใช้งบซ้ำซ้อน-แอบพีอาร์ปูพรมหาเสียงล่วงหน้า ด้านชัชชาติยันไม่มีคำว่าหาเสียง แค่ทำงานให้ดีที่สุด

THE STANDARD
วิดีโอ

โดรนบินหนักตรวจพื้นที่ทหารไทย! ผบ.ทบ.ไฟเขียว หากมีการใช้อาวุ_ธก่อน สามารถใช้อาวุ_ธตอบโต้ภัยคุกคามได้ทันที

BRIGHTTV.CO.TH

"สปสช." ไฟเขียว! "อปท." ใช้งบกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับพื้นที่ จัดซื้อผ้าอ้อมผู้ใหญ่ให้ผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง 4 จังหวัดชายแดน

สยามรัฐ

เตือน โรคไข้ดิน สุดอันตราย ดับแล้ว92ศพ ป่วยกว่า2,000 เผยกลุ่มไหนเสี่ยง

Khaosod

Maly Socheata: Mouthpiece for Cambodia’s chemical weapons claim against Thailand

Thai PBS World

ตร.ไซเบอร์ เตือนภัยบัญชีม้า LINE BK ขายต่อผิดกฎหมาย เสี่ยงโทษหนัก

PostToday

ข่าวและบทความยอดนิยม

“ธรรมนัส”โพสต์เฟซบุ๊ก หลังสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าจากไทย 19% ประกาศลั่น ! “กล้าธรรม”พร้อมรักษาผลประโยชน์เกษตรกรไทย ขอให้สบายใจได้

Manager Online

"ศุภชัย"ตอก"ภูมิธรรม"หมิ่นข้าราชการมหาดไทย เอาเจ้าหน้าที่รถไฟมาสอบอธิบดีกรมที่ดิน คนมหาดไทย

Manager Online

ศบ.ทก.หวังประชาคมโลกเห็นความจริงหลังลงพื้นที่ ชี้คณะทูตคาใจเขมรโจมตีไม่มีหลักหรือตั้งใจ-เห็นใจไทย

Manager Online
ดูเพิ่ม
Loading...