ตำรวจทางหลวงพังงา-ภูเก็ต-กระบี่ รวบหนุ่มใช้รถหลุดจำนำติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอม พร้อมยึดรถส่งคืนเจ้าของ
ตำรวจทางหลวงพังงา-ภูเก็ต-กระบี่ รวบหนุ่มใช้รถหลุดจำนำติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอม พร้อมยึดรถส่งคืนเจ้าของ
เมื่อวันที่27กรกฎาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ มีมุสิก สวญ.ส.ทล.1 กก.7 บก.ทล., ร.ต.ท.รุ่งโรจน์ สุวรรณพิทักษ์ รอง สว.(ป.) ส.ทล.1 กก.7 บก.ทล. พร้อมพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส.ทล.1 กก.7 บก.ทล. (พังงา, กระบี่, ภูเก็ต) ร่วมกันจับกุม นายพลเดช (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 46 ปี โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “ใช้เอกสารราชการปลอม”พร้อมตรวจยึดของกลาง รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ อีซูซุ รุ่น ดีแม็กซ์ สีเทา จำนวน 1 คัน พร้อมด้วยแผ่นป้ายทะเบียนปลอม จำนวน 2 แผ่น และแผ่นเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี (ปลอม) จำนวน 1 แผ่น โดยจับกุมได้บนทางหลวงหมายเลข 4 กม.1036-1037 ต.ทรายขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่
พฤติการณ์ ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ได้ออกตรวจในพื้นที่รับผิดชอบ สังเกตเห็นรถยนต์กระบะต้องสงสัยขับรถแซงหน้ารถวิทยุสายตรวจของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมไปด้วยความเร็ว และปาดไปมาโดยน่าหวาดเสียว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ขับติดตาม และส่งสัญญาณให้หยุดรถ จากนั้นได้แสดงตัวขอตรวจสอบ พบผู้ต้องหานี้เป็นผู้ขับขี่ จึงได้เชิญลงจากรถ จากการตรวจค้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายภายในรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจสังเกตเห็นผู้ต้องหามีท่าทางพิรุธต้องสงสัย จึงได้ตรวจสอบโดยละเอียดจึงพบว่า ป้ายทะเบียน และเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี ที่ผู้ต้องหาใช้ติดแสดงอยู่ที่ตัวรถ มีตำหนิไม่ตรงตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด ตรวจสอบข้อมูลหมายเลขตัวถังพบว่าไม่ตรงกับข้อมูลของรถยนต์คันของกลาง เชื่อว่าเป็นแผ่นป้ายที่ทำปลอมขึ้น จึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหา พร้อมตรวจยึดของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ทรายขาว จว.กระบี่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ถือเป็นผู้ต้องหารายที่ 3 ของเดือน ก.ค.68 ที่เจ้าหน้าที่ตรวจทางหลวง สามารถจับกุมและยึดรถยนต์ได้ ภายในพื้นที่ จังหวัดกระบี่ ซึ่งจะได้สืบสวนขยายผลต่อไป จากการสอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา รับว่าได้ซื้อรถยนต์คันดังหล่าว ซึ่งทราบว่าเป็นรถหลุดจำนำมาจากเพื่อนในจังหวัดกระบี่ ราคา 50,000 บาท และมีการเปลี่ยนแปลงแผ่นป้ายเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าของกรรมสิทธิ์ติตามทวงรถยนต์คันดังกล่าวคืน
***การปลอมใช้เอกสารราชการปลอมเป็นความผิดตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท***