‘ภัณฑิล’ ชี้เคส ‘พิเชษฐ์’ สวมหมวก 2 ใบทำขัดกันแห่งผลประโยชน์
เมื่อวันที่ 2 ส.ค. นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. พรรคประชาชน ในฐานะผู้ร้อง ให้สัมภาษณ์ถึงการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 พ้นจากตำแหน่ง สส.เชียงราย และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 กรณีโยกงบประมาณลงพื้นที่ตัวเองนั้น จะมีการขยายผลไปยังกรณีอื่นหรือไม่ ว่า กรณีงบประมาณโครงการขนาดใหญ่ที่ถูกแปรเปลี่ยนเปลี่ยนมาจากเดิม ที่นายพิเชษฐ์ขอไว้เป็นงบอบรมสัมมนา ได้ถูกระงับยับยั้งไว้เป็นส่วนใหญ่ หรือในบางโครงการก็มีการปรับลดงบประมาณไป ให้มีความสอดคล้องกับความจำเป็นและเหมาะสมมากขึ้น รวมทั้งประเมินถึงความคุ้มค่าด้วย
เมื่อถามถึงกรณีมีการมองว่าหากตรวจสอบต่อไป จะมี สส. ซีกรัฐบาลจำนวนมากที่เข้าข่ายกรณีนายพิเชษฐ์ ข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นอย่างไร นายภัณฑิล กล่าวว่า มันต้องแยกว่า สส. ที่จะโดน โดนในเคสใด เพราะต้องเรียนให้ทราบว่านายพิเชษฐ์ มี 2 หมวก คือหมวกที่เป็น สส. เป็นตัวแทนประชาชน และหมวกที่เป็นรองประธานสภา เป็นเหมือนฝ่ายบริหาร ฝ่ายการเมืองของข้าราชการประจำรัฐสภา ซึ่งในหมวกหนึ่งก็มีหน้าที่ที่สามารถกำหนดนโยบายเฉกเช่นเดียวกับ รมว. หรือ รมช. ที่เป็นฝ่ายบริหาร การกำหนดนโยบายนั้นไม่ได้ผิด ตราบใดถ้าไม่มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ที่เหมือนชงเองตบเอง คือฉันทำนโยบายนี้ แล้วสุดท้ายไปกำกับนโยบายดังกล่าว เพื่อให้ทุกคนมาผ่านฉัน และเอาเงินไปลงในเขตตัวเอง เพื่อสร้างความนิยมให้กับตัวเอง มันเหมือนเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ของส่วนรวมที่มันแยกกันไม่ออกและทับซ้อนกัน
“อันนี้จะเป็นลักษณะเฉพาะในกรณีของนายพิเชษฐ์ ซึ่งมี 2 หมวก ที่ใช้อำนาจของตัวเองเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งถ้าเผื่อเขาจะเอาไปอบรมสัมมนาทั่วประเทศจริงๆ ก็อาจจะไม่ได้ผิดก็ได้ ซึ่งเขาเป็นคนสั่งการให้มีเรื่องเหล่านี้ และเอาไปลงในพื้นที่ตัวเอง คำขอก็มาจากชาวบ้านในเขตพื้นที่ตัวเอง แถมเรื่องนี้อาจจะไม่ได้อยู่ในคำพิพากษาคำวินิจฉัยของศาล คือส่วนใหญ่แล้วงบที่ขอไปก็ไม่ได้ทำ แต่เอามาอ้างเฉยๆ อ้างกลุ่มสตรี เยาวชน และประชาชน แต่สุดท้ายแปรเปลี่ยนงบประมาณไปออกแบบทำเรื่องอย่างอื่น อันนี้ก็ซ้ำร้ายกว่าเดิมและเป็นความคิดเชิงนโยบายที่เราเข้าไปพยายามระงับย้ำยั้งไม่ให้เกิดความเสียหาย เช่น เอาเป็นออกแบบที่จอดรถ เป็นต้น เพราะขอเอาไว้อย่างแต่เอาไปทำอีกอย่างหนึ่ง มันก็ไม่ตรงปก คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมและลักไก่ในการที่จะทำเรื่องที่ไม่ได้มีการมาขออนุญาตสภาก่อน” นายภัณฑิล กล่าว
เมื่อถามว่าพรรคประชาชนหรือฝ่ายค้าน จะมีการยื่นตรวจสอบกรณีอื่นอีกหรือไม่ นายภัณฑิล กล่าวว่า ประเด็นที่ตนตรวจสอบและติดตามอยู่ จะเป็นประเด็นรัฐสภาเป็นหลัก เพราะตนในฐานะ สส. เป็นผู้ใช้งานอาคารรัฐสภา ซึ่งสภาต้องมีหมุดหมายที่จะให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงทำหน้าที่หลักของเราในการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร คือการตรวจสอบงบประมาณ เราจึงต้องยึดหลักตรงนี้ให้มั่นว่า เราไม่สามารถที่จะไปมีส่วนได้ส่วนเสียกับงบประมาณได้ เพราะเราเป็นฝ่ายตรวจสอบ
ส่วนหากจะมีพรรคการเมืองฝ่ายค้านหรือภาคประชาชนอื่นไปยื่นตรวจสอบต่อ ก็สามารถดำเนินการได้ใช่หรือไม่ นายภัณฑิล กล่าวว่า ใช่ โดยต้องดูว่ามีมูลหรือเปล่า ซึ่งเรื่องที่ตนได้อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ไปในวาระ 1 สืบจนถึงการวินิจฉัย ก็เพราะว่ามีข้าราชการรัฐสภาเขารู้สึกว่าเดือดร้อนมาก การมีเรื่องที่จะทำให้เขาสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำความผิดต่างๆ ซึ่งเขาได้ทักท้วงไว้แล้ว ซึ่งตนไม่ได้เป็นคนทำข้อมูลหรือชี้เบาะแส แต่มีคนทำข้อมูลและมาผ่านช่องทาง ซึ่งตนใช้เวทีสภาในการอภิปรายและทำให้เป็นกระแสสังคม จนยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งประชาชนทุกคนน่าจะเห็นตรงกันว่ามันไม่ถูกต้อง ผ่านกระบวนการที่ผิด สุดท้ายก็ยืนยันได้ด้วยศาลรัฐธรรมนูญ ถึงแม้ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่เขาก็มีหน้าที่วินิจฉัยไปตามกฎหมาย ว่ามาตรา 144 มันห้าม สส. เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเงินงบประมาณ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการ.