ลุกแล้วบ้านหมุนอันตรายกว่าที่คิด! เตือนอาการแบบไหนอาจเป็นสัญญาณสโตรก
เมื่อวันที่ 2 ส.ค. นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา คุณหมออารมณ์ดีเจ้าของเพจ "หมอเจด" ระบุว่า
“เวียนหัว บ้านหมุน” เป็นโรคอะไร ป้องกันได้ไหม มาดู! ถ้าเคยมีอาการแบบนี้ คุณจะรู้เลยว่ามันไม่ใช่เวียนหัวธรรมดา แต่เป็นความรู้สึกโลกหมุนติ้ว ๆ ทั้งที่ทำแค่ลุกขึ้นนั่งหรือหันหัวเร็ว ๆ เอง
อาการแบบนี้มีได้หลายสาเหตุ ที่เจอบ่อยสุดคือ “หินปูนในหูหลุด” กับ “โรคน้ำในหูไม่เท่ากันจริง ๆ” (เมเนียร์) ซึ่งสองโรคนี้แม้อาการจะคล้ายกัน แต่สาเหตุและวิธีดูแลต่างกันแบบคนละเรื่อง
วันนี้หมอจะเล่าให้ฟัง ให้เข้าใจว่า หินปูนในหูกับน้ำในหูไม่เท่ากันคืออะไร
สังเกตอาการยังไง ป้องกันได้แค่ไหน และอาการแบบไหนต้องรีบไปหาหมอทันที
1. หินปูนในหูคืออะไร ทำไมเม็ดจิ๋วทำให้เวียนหัวโลกหมุน?
ในหูชั้นในของเรามีระบบที่ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัว หรือเรียกว่า Vestibular system ซึ่งจะมีเม็ดแคลเซียมเล็ก ๆ ชื่อ Otoconia อยู่ ทำหน้าที่เหมือนลูกตะกั่วเล็ก ๆ ช่วยบอกสมองว่าเรากำลังเอียง หัน หรือเคลื่อนไหวยังไง ทีนี้ปัญหาคือ บางทีหินปูนพวกนี้ดัน “หลุด” เข้าไปในท่อกึ่งวงกลม (Semicircular canal) พอเราขยับหัว มันไปกวนของเหลวในหู ทำให้สมองรับสัญญาณผิดปกติ จึงเกิดอาการเวียนหัวแบบโลกหมุนทันที ภาวะนี้เรียกว่า BPPV (Benig Paroxysmal Positional Vertigo) หรือที่หลายคนเข้าใจว่า “น้ำในหูไม่เท่ากัน”
2. แล้ว “น้ำในหูไม่เท่ากัน” จริง ๆ คือโรคอะไร?
คำนี้เป็นคำที่คนไทยชอบใช้ แต่ถ้าในทางหมอ ส่วนใหญ่หมายถึง โรคเมเนียร์ (Meniere’s Disease) เกิดจากน้ำในหูชั้นในเยอะเกินไป ทำให้เกิดแรงดันผิดปกติ ระบบทรงตัวรวน การได้ยินก็รวนตามไปด้วย
อาการหลัก ๆ ของน้ำในหูไม่เท่ากัน
- เวียนหัวแบบโลกหมุน หมุนแรงจนลืมตาไม่ไหว
- มีเสียงวิ๊ง ๆ หรืออื้อในหู
- การได้ยินลดลงชั่วคราว ถ้าเป็นบ่อย ๆ อาจหูตึงถาวร
- คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อแตก
ต่างจาก BPPV ตรงที่อันนี้เกิดจาก “แรงดันน้ำในหูรวน” ส่วนหินปูนในหูคือ “เม็ดแคลเซียมหลุด” แต่เพราะอาการเวียนหัวคล้ายกัน
3. อาการไหนปลอดภัย อาการไหนต้องรีบไปหาหมอ?
สองโรคนี้แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่มีบางอย่างที่ต้องสังเกต เพราะบางครั้งอาการเวียนหัวแบบนี้ดันไปคล้ายโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ได้
อาการที่มักเป็นแค่จากหู
- เวียนหัวเวลาขยับหัวหรือเปลี่ยนท่า
- โลกหมุนแบบจริง ๆ ไม่ใช่แค่โคลง ๆ
- คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
- ไม่มีอาการแขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด
อาการที่ควรไปโรงพยาบาลด่วน
- เวียนหัวร่วมกับปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขนขาไม่มีแรง → อาจเป็นสโตรก
[* เวียนหัวรุนแรงเฉียบพลัน แบบไม่เคยเป็นมาก่อน , * การได้ยินหายไปทันที หรือหูหนวกฉับพลัน , * ปวดหู มีหนอง หรืออาการติดเชื้อ ]
แต่ถึงยังไงก็แนะนำว่า ไม่ว่าอาการแบบไหนก็ควรจะไปตรวจที่โรงพยาบาลนะ
4.ป้องกันยังไง?
หินปูนในหูบางทีเกิดแบบไม่มีสาเหตุ แต่จะเจอบ่อยในคนอายุ 40-60 หรือหลังหัวกระแทก ส่วนน้ำในหูไม่เท่ากันจะเกี่ยวกับพันธุกรรม ความเครียด อาหารเค็ม กาเฟอีน ฯลฯ
วิธีดูแลลดความเสี่ยง
- ลดเค็ม เกลือเยอะทำให้คุมน้ำในร่างกายไม่ดี น้ำในหูแปรปรวนง่าย
[ * ลดกาเฟอีนและแอลกอฮอล์: ของพวกนี้กระตุ้นระบบทรงตัว , * ดื่มน้ำพอดี ๆ ขาดน้ำหรือมากเกินก็รวนได้ , * พักผ่อนพอ ๆ นอนน้อย เครียด ระบบประสาทจะไวขึ้น ทำให้เวียนหัวง่าย , * ขยับร่างกาย ฝึกการทรงตัว สมองจะได้ปรับตัว ลดโอกาสเวียนหัวซ้ำ ]
5. ถ้าเป็นแล้วทำไง? หายเองไหม?
- หินปูนในหู (BPPV): ส่วนใหญ่รักษาด้วยการทำท่าบริหารศีรษะให้หินปูนกลับบ้าน เช่นท่า Epley maneuver ไม่ต้องพึ่งยาเยอะ ถ้าทำถูกอาการมักหายใน 1-2 วัน แต่บางคนอาจวนกลับมาเป็นซ้ำ
[ * น้ำในหูไม่เท่ากัน: ต้องคุมอาหาร ลดเกลือ ใช้ยาขับน้ำหรือยาคลายเวียนหัวตอนกำเริบ และคอยเช็กการได้ยิน เพราะถ้าเป็นบ่อย ๆ หูอาจตึงถาวรได้ ]
❌ สิ่งที่ไม่ควรทำเลยคือ
- ฝืนขับรถหรือทำงานที่เสี่ยงตอนเวียนหัว
[ * กินยาคลายเวียนหัวพร่ำเพรื่อแบบไม่รู้สาเหตุ เพราะอาจปิดบังโรคอื่น ]
เรื่องเวียนหัวโลกหมุนไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และไม่ใช่แค่ “น้ำในหูไม่เท่ากัน” เสมอไป
บางครั้งเป็นแค่หินปูนในหูหลุด และบางครั้งก็เป็นสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมองที่ห้ามชะล่าใจเด็ดขาด สิ่งสำคัญคือ อย่ามองข้ามอาการเวียนหัว อย่าเดาเอง และอย่ารอจนหนัก แนะนำว่าอาการแบบไหน ก็ควรรีบไปโรงพยาบาลนะ