"ปณิธาน" ถามทีมความมั่นคงตัดสินใจหรือยัง? ชี้สหรัฐฯ เดินเกม Indo-Pacific ถ่วงดุลจีน
วันที่ 16 ก.ค.68 รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง และการต่างประเทศ โพสต์เฟซบุ๊ก Panitan Wattanayagorn ระบุข้อความว่า ทีมความมั่นคงตัดสินใจหรือยัง?
1. สหรัฐฯ มีนโยบายปักหมุดในเอเชีย (Pivot Asia) มาตั้งแต่ช่วงปีค.ศ. 2009-2017 ในสมัยประธานาธิบดีโอบามา คือ "ปักหลักปักฐาน" ในประเทศในเอเชียต่าง ๆ ให้แม่นมั่น เพื่อต่อต้านหรือปิดล้อมจีน ทั้งการเมืองการทหาร เศรษฐกิจ สังคม และอื่น ๆ
แม้ว่านโยบายนี้จะเป็น "มหายุทธศาสตร์" (Grand Strategy) ของอเมริกันแต่ดำเนินการจริงก็ทำได้ไม่มากและไม่ค่อยสำเร็จ เพราะขาดแคลนงบประมาณ ไม่ได้รับความร่วมมือจากหลายชาติ อีกทั้งความสัมพันธ์กับจีนก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนทุกวันนี้
2. ปัจจุบัน สหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ยกระดับนโยบายดังกล่าวไปเป็น "Free and Open Indo-Pacific" (FOIP) โดยดึงอินเดียเข้ามาร่วมถ่วงดุลจีนด้วย และให้ญี่ปุ่นผลักดันแนวคิดนี้ (ตั้งแต่สมัยนาย Abe เป็นนรม.) รวมทั้งเปลี่ยนชื่อภูมิภาค Asia-Pacific นี้ ไปเป็น Indo-Pacific โดยไม่ได้ถามประเทศอื่น
3. หนึ่งในแนวทางที่สำคัญของนโยบาย FOIP ดังกล่าวคือ การกระชับสัมพันธ์ด้านความมั่นคงและความร่วมมือด้านการทหารกับประเทศที่อยู่ในพื้นที่แข่งขันทางยุทธศาสตร์กับจีน โดยเฉพาะตามเส้นทางสายไหมหรือ Belt and Road Initative ของจีนในทะเล (String of Pearls) ซึ่งก็รวมทั้งอาเซียนและไทยด้วย
4. ความจริงสหรัฐฯ และอังกฤษก็มีฐานทัพของตนเองที่เกาะ Diego Garcia ในหมู่เกาะ Chagos Archipelago กลางมหาสมุทรอินเดียอยู่แล้ว และได้ขยายฐานทัพของตนเองให้ใหญ่ขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่เมื่ออังกฤษที่ครอบครองพื้นที่มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1814 แพ้คดีที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปีค.ศ. 2019 และเสียอำนาจในการครอบครองหมู่เกาะนี้ไป จึงต้องทำสัญญาเช่าใช้ 99 ปีแทน ซึ่งก็น่าจะทำให้สหรัฐฯ ต้องวางแผนในการใช้พื้นที่อื่น ๆ มากขึ้นและใกล้กับเส้นทางสำคัญที่จีนใช้ เช่น ช่องแคบมะละกา ท่าเรือในพม่า เป็นต้น
5. หากเราต้องการใช้ประโยชน์จากเรื่องที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเราให้มากขึ้น ทั้งเพื่อการต่อรองทางเศรษฐกิจหรืออัตราภาษี หรือสร้างความมั่นคงปลอดภัยและมั่งคั่งให้กับประเทศในระยะยาว โดยไม่ชักศึกเข้าบ้าน ก็จะต้องปรับสมดุลใหม่ทางยุทธศาสตร์ (New Strategic Equilibrium) ให้เหมาะสมขึ้นทั้งกับสหรัฐฯ จีน และอื่น ๆ ตามที่เราประกาศไว้แล้วเมื่อเกือบสิบปีที่ผ่านมา
ขอบคุณ เฟซบุ๊ก Panitan Wattanayagorn