GDP สหรัฐโตเกินคาด กดดันบาทอ่อน หุ้นไทยฟื้น 17%-ลุ้นผลภาษีทรัมป์ไทย
pI Daily US ประกาศ GDP แข็งแกร่ง กดดันเงินบาทอ่อนค่า เพิ่มความระมัดระวังกับกระแสเงินทุนต่างชาติ หุ้นไทยฟื้นขึ้นมาจากจุดต่ำ 17% Price In เจรจาการค้าไปพอสมควร จากนี้ปรับโหมดเน้นกลยุทธ์เก็งกำไรได้แต่ควรระมัดระวัง โดยเลือกหุ้น Laggard Top Pick CPALL KTB (เชิงพื้นฐานยังไม่มีสัญญาณบวกไม่ว่าจะปรับประมาณการเศรษฐกิจหรือกำไรบริษัทจดทะเบียน) พร้อมรอลุ้นผลภาษีไทยกับสหรัฐฯ
วันที่ 31 ก.ค.68 บล.พายเผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 171 จุด (-0.38%) ท่ามกลางการซื้อขายที่เป็นไปอย่างผันผวนหลังจาก FED ยังไม่มีทีท่าชัดเจนในการลดดอกเบี้ย ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1% นักลงทุนรอดูสถานการณ์ตึงเครียดในรัสเซียกับสหรัฐฯ
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯประกาศตัวเลข GDP Growth ในช่วง 2Q25 พบว่าขยายตัวได้ 3%QoQ มากกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 2.5%QoQ พร้อมกับจ้างงาน ADP ที่แข็งแกร่งราว 1.04 แสนรายมากกว่าที่ Bloomberg คาดไว้ที่ 7.7 หมื่นราย สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ พบว่าการบริโภคยังขยายตัวแข็งแกร่ง +1.4%QoQ เร่งขึ้นจาก 1Q25 ที่ขยายตัวเพียง 0.5%QoQ โดยเฉพาะสินค้าคงทน +3.7%QoQ เร่งขึ้นจาก 1Q25 ที่ -3.7%QoQ และอีกสาเหตุหลักที่ทำให้การขยายตัวเศรษฐกิจกลับมาเติบโตได้แก่การนำเข้าที่ลดลง (-30%QoQ) จาก 1Q25 ที่ขยายตัว 38%QoQ
อย่างไรก็ตามการลงทุนด้านอสังหาฯ ยังคงย่ำแย่ -4.6%QoQ แย่ขึ้นจาก 1Q25 ที่ -1.3%QoQ ผสานกับการประชุม FED พบว่าคงดอกเบี้ยระดับเดิมตามที่เราและตลาดประเมินไว้ (4.25 – 4.5%) แต่อย่างไรก็ตามมีคณะกรรมการ 2 ท่านชี้ว่าควรลดดอกเบี้ยลง แต่ทั้งนี้ความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจทาง FED ประเมินว่าในช่วงครึ่งปีแรกเศรษฐกิจชะลอลงเล็กน้อยเพราะการนำเข้าที่เร่งตัวแต่ตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง ด้านความเห็นเงินเฟ้อประธาน FED ประเมินว่ามาตรการภาษีล่าสุดเริ่มมีผลต่อราคาสินค้าบางส่วนแต่ผลกระทบยังไม่แน่ชัดว่านำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อถาวรหรือชั่วคราวจึงจำเป็นต้องรอข้อมูลอีกสักระยะ โดยรวมถ้อยแถลงยังเป็นลักษณะ Dovish ที่น้อยลง ทำให้ US Dollar กลับขึ้นมาแข็งค่าอย่างมีนัยยะ พร้อมกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับขึ้น และทำให้เช้านี้เงินบาทกลับมาอ่อนค่าทดสอบระดับ 32.68 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯจากก่อนหน้าที่ 32.06 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ
ในขณะที่เช้านี้ทรัมป์ประกาศบรรลุ Deal การค้ากับเกาหลีใต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าเพียง 15% เพื่อแลกกับการที่เกาหลีใต้จะมอบเงินราว 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อใช้ในการลงทุนและอยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐฯ นอกจากนี้จะตกลงซื้อแก๊สจากสหรัฐฯ หรือพลังงานรูปแบบอื่นรวมกันมูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมกับไม่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯที่ไปยังเกาหลีใต้ เรายังคงรอติดตามเจรจาความคืบหน้าภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯเชื่อว่าใกล้จะประกาศแล้ว อาจจะคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย ล่าสุดทางรัฐมนตรีคลังระบุว่าจัดทำข้อเสนอสุดท้ายให้กับสหรัฐฯไปแล้วในช่วงเมื่อวานที่ผ่านมาพร้อมเชื่อว่าเหตุการณ์ไทยกับกัมพูชาไม่มีผลต่อการเจรจา
วันนี้ประเมิน SET พักตัวในกรอบ 1235 – 1250 น่าจะเริ่มพักตัวบ้างหลังจากปรับขึ้นมาจากจุดต่ำสุด 17% Price In ปัจจัยบวกเจรจาการค้าไปพอสมควรแต่พื้นฐานยังไม่เห็นสัญญาณบวก ไม่ว่าจะเป็นการปรับประมาณการกำไรหรือเศรษฐกิจ ขณะที่ค่าเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่าจากสัญญาณบวกจากสหรัฐฯอาจกดดันกระแสเงินทุนต่างชาติที่ในช่วงตั้งแต่ต้นเดือนซื้อสะสมไปแล้ว 1.55 หมื่นล้านบาท ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังคงเน้นเพียงการ Trading ระยะสั้นแบบใช้เงินลงทุนไม่มาก พร้อมกับหาหุ้นยังปรับขึ้นน้อย (laggard) อาทิ (CPALL KTC KTB KBANK CPF BDMS) อื่นๆเกาะกระแสไปกับหุ้นได้ประโยชน์เจรจาการค้า (AMATA WHA ITC TU)
KTB (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 24.50) แม้ผลการดำเนินงานใน 2Q25 จะต่ำกว่าคาดส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งของงบดุลในยามที่เศรษฐกิจมีความท้าทายด้วยการตั้งสำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้น ดังนั้น เรามองว่าประมาณการกำไรในปี 2025 ยังมีโอกาสเป็นไปได้ เนื่องจากคาดว่ากำไรจะเติบโตเพียงราว 1% ในปี 2025 คาด KTB จ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นตามผลประกอบการ คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่ 7.2% ในปี 2025
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 78) คาดรายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 6.7 พันล้านบาท (+8%YoY, -11%QoQ) หนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 20 bps YoY แม้คาดว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 จะชะลอตัวเล็กน้อย YoY ที่ 0.5% และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหารต่อยอดขายเพิ่มขึ้น 10 bps YoY เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2H25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่อง
#เศรษฐกิจโลก #GDPสหรัฐ #บาทอ่อน #หุ้นไทย #หุ้นเด่น #CPALL #KTB #การลงทุน #ดัชนีหุ้น #ตลาดทุน #SET #ทองคำ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้