ภูมิธรรมชี้ชัด ไทยยืนหลักสันติ RBC 27 ส.ค. เดินตาม GBC ไม่ยอมให้กัมพูชารุกล้ำ
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ไทย–กัมพูชา ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 จะจัดขึ้นในวันที่ 27 สิงหาคมนี้ว่า แนวทางการหารือจะยึดโยงกับกรอบที่ได้ข้อสรุปจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา แม้บางพื้นที่อาจมีรายละเอียดเฉพาะที่ต่างออกไป แต่โดยพื้นฐานแล้ว RBC จะเป็นการพูดคุยในระดับแม่ทัพ เพื่อหาข้อสรุปร่วมกันในเรื่องเขตแดนให้ได้มากที่สุด
ภายหลังจากมีกระแสว่า ฝ่ายกัมพูชารับข้อเสนอจากกองทัพภาคที่ 1 แต่กลับไม่มีการรื้อรั้วลวดหนาม นายภูมิธรรมชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวไม่ตรงกับที่ฝ่ายไทยได้หารือไว้ พร้อมย้ำว่าผู้ช่วยทูตทหารของไทยในกรุงพนมเปญได้ยื่นหนังสือประท้วงไปแล้ว โดยส่วนตัวมองว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในอดีตก็มักเกิดความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ตกลงกัน สิ่งที่โฆษกกัมพูชาพูด และสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศได้รวบรวมหลักฐานส่งต่อให้นานาชาติ โดยเฉพาะการเดินทางของนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้นำข้อมูลทั้งหมดไปชี้แจงต่อคณะกรรมการออตตาวาที่กรุงเจนีวา
ในช่วงเวลาเดียวกัน นายภูมิธรรมยังกล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ครบรอบหนึ่งเดือนของเหตุปะทะว่า การแก้ปัญหาดังกล่าวไม่อาจยุติได้ในเวลาอันสั้น เพราะเมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์โลก หลายประเทศใช้เวลากว่า 10 ปีในการแก้ไขข้อพิพาทด้านเขตแดน
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นรอบใหม่ ซึ่งไทยยังยึดมั่นไม่สร้างเหตุสงครามโดยไม่จำเป็น และพร้อมรักษาผลประโยชน์ของชาติให้ถึงที่สุด
ส่วนกรณีถ้อยแถลงของผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ที่ระบุว่าบ้านหนองจานไม่มีเอกสารสิทธิ์ ทั้งที่ชาวบ้านยืนยันว่ามี ส.ค.1 จนถูกกัมพูชานำไปอ้างเป็นพื้นที่ของตนเองนั้น นายภูมิธรรมย้ำว่า ข้อเท็จจริงมีเอกสารสิทธิ์อยู่แล้ว เพียงอาจสื่อสารผิดเรื่องโฉนดกับเอกสาร ส.ค.1 ดังนั้น จึงไม่ควรตื่นตระหนกหรือเชื่อกระแสที่ถูกขยายผ่านโซเชียลมีเดีย เพราะความจริงสามารถพิสูจน์ได้จากหลักฐานที่มีอยู่
เมื่อถูกถามว่าการชี้แจงของผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วอาจทำให้ต่างชาติเข้าใจผิดว่าไทยบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า หากมีหลักฐานยืนยันก็ถือว่าจบ ไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะทุกอย่างต้องยึดข้อเท็จจริงเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นการทบทวนบันทึกความเข้าใจ MOU 43 และ MOU 44 นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่ควรทำให้เกิดหลายประเด็นพร้อมกัน เพราะจะทำให้การเจรจายุ่งยากเกินไป ปัจจุบันไทยถือว่ามีความได้เปรียบในประเด็นทุ่นระเบิดและรั้วลวดหนาม เนื่องจากกัมพูชาเสียหายและขัดกับอนุสัญญาระหว่างประเทศ จึงควรใช้สิ่งนี้เป็นจุดแข็งในการสื่อสารกับนานาชาติก่อน ส่วนเรื่องอื่นสามารถหยิบยกมาหารือได้ในโอกาสต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- กองทัพบกอนุมัติ “ติดธงชาติบนบ่า” แสดงอัตลักษณ์นักรบไทย
- ไทยเปิดหลักฐานเด็ดจากสนามรบสู่สายตาอาเซียน คณะผู้สังเกตการณ์ IOT กับความจริงจากชายแดน
- ไทยเดินเกมสำคัญ เปลี่ยนสมรภูมิเป็นเวทีการทูต เปิดหลักฐานเด็ดต่อหน้าผู้สังเกตการณ์
- ชายแดนไทย–กัมพูชา ล่าสุด วิกฤต ความจริง และเดิมพันบนเวทีออตตาวา
- ศบ.ทก. เผยหลักฐานคลิปมัดกัมพูชาลอบใช้ทุ่น PMN-2 เตรียมชงออตตาวา