แบงก์ชาติคุมเข้ม จำกัดโอนเงินวันละ 5 หมื่น ป้องกันมิจฉาชีพ
มาตรการต่าง ๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ มุ่งเป้าไปที่มิจฉาชีพเป็นหลัก ทำให้เห็นผลว่า ภัยการเงินจากแอปดูดเงินลดลงเหลือ 0 เคส แต่กลับพบว่ายังมีอีกหลายเคส ที่ผู้เสียหายถูกหลอกให้โอนเงินด้วยตนเอง จึงต้องเพิ่มความเข้มข้นขึ้น
โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 2,800 ล้านบาท คนที่โดนหนักที่สุด ถูกหลอกให้โอนเงินไปเกือบ 5,000,000 บาทภายในครั้งเดียว
ข้อมูลสะสมตั้งแต่ปี 2565 – 2568 จะพบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มักเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เกิดความเสียหายเฉลี่ยกว่า 400,000 บาท
ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับระบบการชำระเงินฯ ธปท. กล่าวว่าการที่เราสามารถโอนเงินได้ครั้งละมาก ๆ ทำให้มูลค่าความเสียหายยิ่งสูง ในขณะเดียวกัน มิจฉาชีพก็สามารถถ่ายโอนเงินเหล่านั้นไปยังบัญชีอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การนำเงินกลับมาคืนให้ผู้เสียหายเป็นไปได้ยาก
ทำให้ล่าสุด แบงก์ชาติและสมาคมธนาคาร ต้องยกระดับมาตรการเพิ่มเติม คือการกำหนดวงเงินการโอนต่อวัน เป้าหมายหลัก เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพถ่ายโอนเงินที่ได้มาได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มโอกาสที่จะกักเงินของผู้เสียหายไว้ได้ทัน
พูดง่าย ๆ คือ ถ่วงเวลาไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อจำกัดความเสียหายของประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ
โดยธนาคารจะพิจารณากำหนดวงเงินการโอน ตามความเสี่ยง และพฤติกรรมการทำธุรกรรมของแต่ละคน เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับผลกระทบน้อยที่สุด มาตรการนี้จะครอบคลุมการใช้งาน Mobile Banking ทุกบัญชี ไม่รวมบัญชีนิติบุคคล
ส่วนการกำหนดว่าจะโอนเงินได้วันละเท่าไหร่ ธนาคารจะพิจารณาจากข้อมูลของลูกค้า ลักษณะต้องสงสัยที่จะเป็นมิจฉาชีพ จำนวนเงินที่เข้า-ออกบัญชี ประวัติการใช้งาน และสินทรัพย์ โดยจะจัดกลุ่มลูกค้าเป็น 3 กลุ่ม
- หากมีความเสี่ยงต้องสงสัยว่าจะเป็นมิจฉาชีพ บัญชีม้า กลุ่มนี้จะถูกจำกัด โอนเงินได้ไม่เกิน 50,000 บาท/วัน
- ลูกค้าทั่วไป สามารถกำหนดวงเงินได้ทั้ง 3 รูปแบบ ตั้งแต่ไม่เกิน 50,000 บาท ไปจนถึงมากกว่า 20,000 บาท
- ลูกค้ากลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ มีการแจ้งเตือน หากพบว่าจะทำธุรกรรมที่สุ่มเสี่ยง
อรมนต์ จันทพันธ์ ผอ.สายกำกับระบบการชำระเงินฯ ธปท. ระบุว่า หลังจากที่ธนาคารประเมินข้อมูลแล้ว ก็จะแจ้งวงเงินต่อวัน ให้กับลูกค้าแต่ละคน โดยแต่ผู้ใช้งานสามารถขอปรับวงเงินได้ ธนาคารจะประเมินข้อมูลและอาจขอข้อมูลเพิ่มเติม และแจ้งผล หรือในกรณีที่มีความจำเป็นฉุกเฉิน ต้องโอนเงินสูงกว่าวงเงินที่กำหนด ธนาคารจะพิจารณาอนุมัติและแจ้งกลับภายในหลักชั่วโมง
มาตรการนี้จะเริ่มดำเนินการกับลูกค้าใหม่ ที่เพิ่งสมัคร mobile banking ภายในเดือนนี้ และจะทยอยดำเนินการกับผู้ที่ใช้งาน mobile banking อยู่แล้วทั้งหมดภายในสิ้นปี
ธนาคารแห่งประเทศไทย คาดหวังว่ามาตรการนี้จะเป็นหนึ่งในมาตรการที่ช่วยลดมูลค่าความเสียหายได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ยอมรับว่าไม่สามารถที่จะกำจัดไปได้ร้อยละ 100 ต้องอาศัยทุกกลไก ทั้งหน่วยงานกำกับดูแล ผู้ให้บริการ รวมถึงความระแวดระวังของผู้ใช้งานเองด้วย
อ่านข่าวอื่น :