Gen Z ไทยว่างงานสูง! นายจ้างเลี่ยง แม้เก่งเทคฯ-AI เพราะเปลี่ยนงานบ่อย
อีกไม่นานตลาดแรงงานไทยจะไม่เหมือนเดิม เมื่อ Gen Z รุ่นคนที่เติบโตมากับสมาร์ตโฟน อินเทอร์เน็ต และโซเชียลมีเดีย กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทเป็น “แรงงานหลัก” ของประเทศ แทนที่รุ่นพี่อย่าง Gen X และ Gen Y ที่ทยอยเกษียณออกจากระบบ พวกเขาไม่ได้เพียงแค่เปลี่ยนโฉมหน้าของตลาดแรงงาน แต่ยังเปลี่ยน “ความหมายของการทำงาน” ไปพร้อมกัน
สิ่งที่ทำให้ Gen Z น่าสนใจคือการผสมผสานระหว่างจุดแข็งและจุดเปราะบางในตัวเอง ด้านหนึ่ง พวกเขามีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี มีความคิดสร้างสรรค์ และกล้าที่จะเสี่ยง อีกด้านหนึ่ง พวกเขากลับเผชิญความท้าทายเรื่อง Soft Skills การขาดประสบการณ์ และความภักดีต่อองค์กรที่น้อยกว่ารุ่นก่อน การปรับตัวของทุกฝ่ายจึงเป็นเรื่องจำเป็น ทั้งภาคธุรกิจ ภาครัฐ และตัวแรงงานเอง หากรับมือได้ถูกทาง พลังของ Gen Z จะเป็นแรงขับสำคัญในการยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทย แต่หากพลาด ก็อาจกลายเป็นจุดเปราะบางที่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ข้อมูลชี้ชัดว่า การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว McCrindle คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 Gen Z จะครองสัดส่วนแรงงานโลกถึง 27% และเพิ่มเป็น 31% ภายในปี 2578 ส่วนในไทย ปัจจุบันแม้ Gen Y (35.1%) และ Gen X (33.6%) จะยังเป็นแรงงานหลัก แต่ Gen Z ซึ่งมีมากถึง 7.4 ล้านคน หรือ 18.3% ของแรงงานทั้งหมด กำลังขยายบทบาทขึ้นเรื่อย ๆ โดย Adecco ประเมินว่าภายในปี 2571 Gen Z จะกลายเป็นหนึ่งในสี่ของตลาดแรงงานไทยอย่างเต็มตัว
มิติใหม่ของทัศนคติและพฤติกรรมเจน Z
จากโครงสร้างประชากรที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของไทย ทั้งการเข้าสู่สังคมสูงวัยและจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลง ทำให้ Gen Z ถูกคาดหวังว่าจะเป็นกำลังแรงงานหลักในอนาคต การทำความเข้าใจทัศนคติและพฤติกรรมของคนรุ่นนี้จึงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะไม่เพียงแต่สะท้อนการเปลี่ยนผ่านของตลาดแรงงาน แต่ยังสะท้อนการปรับตัวของสังคมและเศรษฐกิจโดยรวม
1. การศึกษาต่อและความกังวลต่อระบบการศึกษา
แม้รัฐไทยจะมีนโยบายส่งเสริมให้เข้าถึงการศึกษาในระดับสูง แต่ Gen Z จำนวนไม่น้อยเลือกที่จะไม่เรียนต่อ ผลสำรวจ Deloitte ปี 2568 ชี้ว่า 16% ของ Gen Z ไทยตัดสินใจไม่ศึกษาต่อ โดยมีเหตุผลที่แตกต่างกัน ได้แก่ ความกังวลต่อคุณภาพการศึกษา (48%) ค่าเล่าเรียนแพง (44%) ระบบการเรียนการสอนที่ขาดความยืดหยุ่น (19%) และความกลัวว่าจะไม่สามารถชำระหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษาได้ (26%) พวกเขามองว่าการศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยไม่ใช่เส้นทางหลักสู่ความสำเร็จอีกต่อไป
2. การเข้าสู่ตลาดแรงงานล่าช้าและการค้นหาตัวเอง
สถิติการว่างงานสะท้อนภาพที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2557 มีเพียง 1.2% ของ Gen Z ที่ว่างงานเกินหนึ่งปี แต่ตัวเลขพุ่งขึ้นเป็น 13.6% ในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าทุกช่วงอายุก่อนหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน อัตราการว่างงานสูงถึง 48.5% ปรากฏการณ์นี้ส่วนหนึ่งมาจากการเลือกทำ “Gap Year” เพื่อค้นหาตัวเองและสะสมประสบการณ์ชีวิต งานวิจัยของ วีระชน แจ่มจันทร์ (2566) และผลสำรวจของ Applied ปี 2566 ยังพบว่า 47% ของ Gen Z เห็นว่าการมี Career Break ช่วยให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น และกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ความเป็นผู้ประกอบการและการทำงานอิสระ
แนวโน้มการหันหลังให้ระบบการทำงานแบบดั้งเดิมชัดเจนขึ้นในหมู่ Gen Z ก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 มีเพียง 0.4% ของ Gen Z ที่ประกอบธุรกิจส่วนตัวต่อปี แต่ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ตัวเลขเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเป็น 1.8% ต่อปี ข้อมูลนี้สอดคล้องกับผลสำรวจ Intelligent ปี 2022 ที่ระบุว่า 60% ของบัณฑิตใหม่อยากเป็นนายของตัวเอง เหตุผลหลักมาจากความต้องการอิสระ ความปรารถนาที่จะทำสิ่งที่ชอบ และการปฏิเสธข้อจำกัดของงานประจำ
อย่างไรก็ตาม ความจริงอีกด้านหนึ่งคือการขาดทักษะ Soft Skills โดยเฉพาะการบริหารจัดการและการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทำให้ธุรกิจใหม่จำนวนมากไม่สามารถอยู่รอดได้ ข้อมูลจาก Bureau of Labor Statistics ของสหรัฐฯ ชี้ว่า 20% ของธุรกิจสตาร์ทอัพปิดตัวในปีแรก และเกือบครึ่งไม่รอดเกิน 5 ปี
4. ค่านิยมใหม่ต่อการทำงานและความหมายของงาน
Gen Z ไม่ได้มองงานเพียงแค่แหล่งรายได้ แต่ยังให้ความสำคัญกับ “คุณค่า” ของงานที่ทำ Deloitte ปี 2567 พบว่า 55% ของ Gen Z ไทยพร้อมที่จะปฏิเสธงานที่ขัดกับความเชื่อหรือจริยธรรมของตนเอง
นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance และต้องการงานที่มีความหมายต่อชีวิต ส่งผลให้ความภักดีต่อองค์กรน้อยลง อัตราการลาออกของคนรุ่นนี้สูงขึ้นถึง 12% ภายในเวลาไม่กี่ปี ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายใหม่สำหรับนายจ้างที่ต้องหากลยุทธ์รักษาพนักงานให้อยู่ในองค์กรนานขึ้น
5. การใช้เทคโนโลยีและ AI อย่างเชี่ยวชาญ
Gen Z เติบโตมากับเทคโนโลยีดิจิทัล จึงมีความเชี่ยวชาญและเปิดรับเครื่องมือใหม่ ๆ อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ AI ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำงาน รายงาน Work Trend Index 2024 ระบุว่า 85% ของ Gen Z ไทยใช้งาน AI ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานวิเคราะห์ข้อมูล ออกแบบ หรือการสร้างคอนเทนต์ ตัวเลขนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 75% และยังมากกว่าทุกช่วงอายุ แสดงให้เห็นถึงทัศนคติเชิงบวกที่คนรุ่นนี้มีต่อเทคโนโลยี ซึ่งช่วยให้พวกเขามีเวลาไปพัฒนาทักษะใหม่หรือโฟกัสกับงานที่มีคุณค่ามากกว่า
6. ช่องโหว่ด้าน Soft Skills
ทั้งนี้ แม้จะมีความได้เปรียบในด้านดิจิทัล แต่ Gen Z กลับขาดทักษะเชิงสังคม เช่น การสื่อสาร การทำงานร่วมทีม และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ข้อมูลจาก สศช. (2568) และ Dell EM (2562) สะท้อนว่าการให้ความสำคัญกับ Hard Skills มากกว่า Soft Skills ทำให้บางส่วนยังไม่พร้อมสำหรับการทำงานจริงในระบบหรือการบริหารธุรกิจอย่างยั่งยืน หากไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบ จุดอ่อนนี้อาจกลายเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการเติบโตในสายอาชีพระยะยาว
โอกาสและความเสี่ยงที่ต้องเผชิญจากพฤติกรรมของเจน Z
ลักษณะทัศนคติและพฤติกรรมของ Gen Z ที่ได้กล่าวมาข้างต้น กำลังนำมาซึ่งผลกระทบต่อโลกการทำงานในระยะถัดไป ซึ่งอาจสะท้อนออกมาได้ทั้งด้านบวกและด้านลบ ไม่เพียงแต่ต่อภาคธุรกิจที่ต้องเร่งปรับตัว แต่ยังรวมถึงตัวแรงงานเองที่ต้องหาวิธีสร้างความมั่นคงและความก้าวหน้าในอาชีพ
ผลกระทบด้านบวก
1. โอกาสสะสมประสบการณ์ที่หลากหลาย
การเลือกไม่เรียนต่อในระดับอุดมศึกษาทำให้ Gen Z บางส่วนสามารถก้าวสู่ความสำเร็จในเส้นทางอาชีพได้เร็วขึ้นจากการเรียนรู้สิ่งที่ถนัดด้วยตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาระบบการศึกษาแบบดั้งเดิมมากนัก การหยุดพักเพื่อ Gap Year กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ทบทวนเส้นทางชีวิต ค้นหาความถนัดที่แท้จริง และลงลึกในทักษะที่ต้องการได้รวดเร็วขึ้น
ปรากฏการณ์นี้ยังช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของครอบครัว โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีข้อจำกัดด้านทุนทรัพย์ เพราะสามารถเข้าถึงความรู้ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีทั้งแบบฟรีและมีค่าใช้จ่ายต่ำ ขณะเดียวกัน การที่คนรุ่นใหม่ตั้งคำถามต่อคุณภาพและความเหมาะสมของระบบการศึกษา สะท้อนถึงแรงกดดันให้สถาบันการศึกษาต้องปรับตัวให้ทันสมัย ยืดหยุ่น และตอบโจทย์ตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
2. ทักษะด้าน AI เพิ่มโอกาสในการจ้างงาน
แม้บัณฑิตจบใหม่ยังมีข้อจำกัดด้านประสบการณ์ แต่ทักษะด้าน AI ได้กลายเป็น “ใบเบิกทาง” สำคัญในโลกการทำงานสมัยใหม่ งานวิจัย Work Trend Index 2024 ระบุว่า ผู้บริหารในไทยกว่า 91% เชื่อว่าการนำนวัตกรรม AI มาใช้คือเงื่อนไขสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันขององค์กร และมากกว่าร้อยละ 90 พร้อมจ้างผู้สมัครที่อาจมีประสบการณ์ไม่มาก แต่มีความถนัดด้าน AI มากกว่าผู้สมัครที่มีประสบการณ์สูงแต่ขาดทักษะนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลจาก Coursera ปี 2568 ยังชี้ว่า 95% ของนายจ้างไทยให้ความสำคัญกับใบรับรองด้าน Generative AI และกว่า 98% ของผู้บริหารเห็นพ้องว่า micro-credentials หรือใบรับรองเฉพาะทาง จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสในการได้งานอย่างมีนัยสำคัญ
3. ความหลากหลายทางเศรษฐกิจดิจิทัลและการจ้างงานรูปแบบใหม่
แนวโน้มที่ Gen Z หันมาทำงานอิสระหรือประกอบการใน Gig Economy และ Freelancing กำลังสร้างมิติใหม่ให้เศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็น Creator Economy ที่เปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์สร้างรายได้จากความสามารถในการผลิตเนื้อหา หรือจากทักษะเฉพาะทาง ข้อมูลจาก Linktree ปี 2567 ระบุว่า ตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในไทยมีมูลค่าเกิน 45,000 ล้านบาท และเติบโตเฉลี่ยปีละ 25-30%
อีกด้านหนึ่ง การเติบโตของ Social Gaming และ eSports ก็เปิดพื้นที่ใหม่ในการสร้างรายได้ โดยเปลี่ยนการเล่นเกมให้เป็นอาชีพจริง ทั้งผ่านการสตรีมมิ่งเกม การสร้างคอนเทนต์ หรือการแข่งขันในระดับมืออาชีพ ซึ่งกำลังดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและขยายตลาดแรงงานดิจิทัลให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ผลกระทบด้านลบ
1. ความกังวลของผู้ประกอบการต่อการจ้างงานเด็กจบใหม่
ผู้ประกอบการจำนวนมากเริ่มระมัดระวังในการรับเด็กจบใหม่เข้าทำงานมากขึ้น เนื่องจากทัศนคติและพฤติกรรมบางประการ เช่น การลาออกหรือเปลี่ยนงานบ่อย ทำให้ต้นทุนด้านการบริหารบุคลากรสูงขึ้น ขณะเดียวกัน บัณฑิตใหม่โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้าสู่ตลาดแรงงานล่ามักมีข้อจำกัดด้านประสบการณ์และทักษะ ส่งผลให้คุณภาพและผลิตภาพงานไม่คุ้มค่ากับการจ้างงาน
งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Sheffield Hallam สะท้อนว่า ผู้ประกอบการในสหราชอาณาจักรส่วนใหญ่เลือกจ้างคนที่มีประสบการณ์พร้อมทำงานทันทีมากกว่า เนื่องจากการจ้างเด็กจบใหม่ยังต้องลงทุนด้านการฝึกอบรมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดเล็กที่มีทรัพยากรจำกัด
2. ความเสี่ยงของการว่างงานที่ยังสูงกว่ากลุ่มอื่น
แม้อัตราการว่างงานของ Gen Z มีแนวโน้มลดลง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอายุและการศึกษาระดับอื่น กลุ่มนี้ยังคงมีอัตราการว่างงานสูงที่สุด โดยปี 2567 อยู่ที่ 3.8% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของประเทศอยู่เพียง 1.0% หากพิจารณาแยกตามการศึกษา พบว่าบัณฑิตระดับอุดมศึกษามีอัตราว่างงานสูงสุดที่ 2.0% รองลงมาคือผู้จบ ปวส. 1.8% และ ปวช. 1.4%
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าความเสี่ยงการว่างงานของ Gen Z ยังคงเป็นประเด็นสำคัญ แม้ตลาดแรงงานโดยรวมจะฟื้นตัว
3. ความท้าทายด้านการใช้เทคโนโลยีและ AI อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ Gen Z จะเติบโตมากับเทคโนโลยี แต่การมีทักษะเชิงเทคนิคไม่ได้หมายความว่าจะสามารถนำมาใช้ในการทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้กระบวนการเรียนรู้และการคิดเชิงสร้างสรรค์ถดถอย ผลสำรวจของ MIT ปี 2568 ระบุว่า การใช้ AI ในระดับสูงส่งผลให้ความสามารถในการจำ วิเคราะห์ และสร้างสรรค์ลดลงในระยะยาว
ข้อมูลจาก EY ปี 2024 ชี้ว่า Gen Z มีคะแนนความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของ AI สูงถึง 69 คะแนน แต่กลับทำคะแนนด้านการใช้งานจริง เช่น การเขียนคำสั่ง ได้เพียง 56 คะแนน ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือคะแนนด้านการคิดเชิงวิพากษ์ต่อผลลัพธ์ของ AI อยู่เพียง 44 คะแนน ซึ่งสะท้อนถึงข้อจำกัดในการแยกแยะข้อมูลที่สร้างโดยระบบ
การปรับตัวเพื่ออนาคตแรงงานไทย
ดังนั้น เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่แรงงาน Gen Z สร้างประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องเร่งปรับตัว ผู้ประกอบการต้องออกแบบสภาพแวดล้อมการทำงานให้สอดคล้องกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ เช่น การใช้รูปแบบ Hybrid Work ที่งานวิจัยของ International Workplace Group ในปี 2567 พบว่าสามารถลดอัตราการลาออกของพนักงานได้ถึง 35% ควบคู่กับการลงทุนในนวัตกรรมดิจิทัลและการพัฒนาทักษะ AI เชิงลึก
สำหรับแรงงาน Gen Z เอง จำเป็นต้องพัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน ไม่เพียงแต่ Hard Skills ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี แต่ยังต้องเสริม Soft Skills อย่างการสื่อสาร การทำงานร่วมทีม และการจัดการปัญหา เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความถนัดทางเทคนิคกับความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ภาครัฐก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน ต้องเร่งปรับโครงสร้างการผลิตแรงงาน ลดการผลิตในสาขาที่ล้นตลาด และสร้างแรงจูงใจในสาขาที่ขาดแคลน นอกจากนี้ยังควรร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาหลักสูตรและโครงการฝึกงานที่ตรงกับความต้องการของตลาด ตลอดจนสนับสนุนให้แรงงานทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ระบบคุณวุฒิวิชาชีพ และ micro-credentials