ต้อย เมืองนนท์: เปิดโลกธุรกิจพระเครื่อง พระเก๊อยู่ยาก–เซียนยุคใหม่แข่งด้วยความรู้
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ ผู้เขียน : สุวัฑ แซงลาด
‘ต้อย เมืองนนท์’ หรือพิศาล เตชะวิภาค รองนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย ถือเป็นหนึ่งในชื่อเสียงที่คนในวงการพระเครื่องรู้จักเป็นอย่างดี ในฐานะเซียนพระที่มีทั้งความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน จากเด็กหนุ่มผู้มีความสนใจในเรื่องพระเครื่อง สู่การเป็นผู้บริหารในสมาคมพระเครื่องที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศ
ด้วยประสบการณ์อันโชกโชนจนได้รับการยกย่องว่าเป็นสุภาพบุรุษวงการพระเครื่อง เขาได้เปิดมุมมองกับ ‘ประชาชาติธุรกิจ’ สุดเอ็กซ์คลูซีฟในฐานะคนในวงการ สรุปใจความสำคัญจากบทสัมภาษณ์มาเป็น 10 ประเด็น เพื่อทำความเข้าใจโลกของธุรกิจพระเครื่องให้กระจ่างขึ้น ดังนี้
“นักเทรด” หรือ “นักคำนวณ” ทักษะสำคัญของเซียนพระ
‘ต้อย เมืองนนท์’ ให้มุมมองว่า สิ่งที่ดึงดูดให้เซียนพระกล้าเช่าพระราคาแพง คือการมีพื้นฐานราคารองรับ เหมือนการซื้อทองเก็งกำไรในอนาคต หากราคาทองร่วงก็อาจขาดทุนได้ พระเครื่องก็เช่นกัน เซียนพระที่มีความเป็นนักวิเคราะห์และนักเทรด จะคำนวณแล้วว่า หากซื้อพระองค์นี้ไปจะไม่ขาดทุนในอนาคต เช่น พระสมเด็จบางองค์ราคา 10 ล้านบาท ก็ยังมีคนกล้าเช่า เพราะเขาเชี่ยวชาญในการดูพระและคำนวณแล้วว่าคุ้มค่า
ขณะที่คนเล่นพระด้วยใจรักมักเป็นคนที่มีฐานะ ไม่เดือดร้อน ซื้อพระมาเพื่อชื่นชม สะสม และภูมิใจเวลาเห็นพระที่ตัวเองถือไว้มีราคาสูงขึ้นในตลาด แต่ก็มีคนส่วนน้อยที่ซื้อพระด้วยใจรัก แม้จะรู้ว่าอาจจะขายต่อไม่ได้ แต่ก็ยอมซื้อเพราะความชอบส่วนตัว
“คนที่อยู่ในวงการพระเครื่องต้องเป็นนักคำนวณที่เก่ง สามารถประเมินได้อย่างชำนาญ เพราะถ้าพลาดไปเพียงครั้งเดียวอาจเจ๊งได้ วงการพระเครื่องก็เหมือนกับสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีพื้นฐานราคาและสังคมรองรับ” ต้อย เมืองนนท์ กล่าว
อะไรทำให้เซียนกล้าเช่าพระราคาแพง?
สิ่งสำคัญคือ “พื้นฐานราคารองรับ” คล้ายกับการลงทุนในทองคำ เซียนพระบางคนมองเป็นการเก็งกำไร บางคนวิเคราะห์แบบนักเทรด ถ้าประเมินแล้วว่าพระองค์นั้นจะไม่ขาดทุนในอนาคต เขาก็กล้าลงทุน ยกตัวอย่างพระสมเด็จ บางองค์ราคาหลักสิบล้านก็ยังมีคนเช่า เพราะมั่นใจว่ามีมูลค่าและความคุ้มค่า
แต่ก็มีบางคนที่ซื้อด้วย “ใจรัก” แม้รู้ว่าอาจขายต่อไม่ได้ แต่ก็อยากได้ไว้ครอบครอง คนแบบนี้มีอยู่ แต่เป็นส่วนน้อย
“วงการพระเหมือนสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ต้องมีทั้งความรู้ การคำนวณ และสังคมรองรับ เพราะผิดพลาดแค่ครั้งเดียวอาจเจ๊งได้เลย” ต้อย เมืองนนท์ กล่าว
เซียนใหญ่ไม่ได้มีอภิสิทธิ์ในการกำหนดราคา
ที่บอกว่าเซียนพระยิ่งรุ่นใหญ่ ยิ่งกำหนดราคาได้สูง เป็นเรื่องไม่จริง ไม่มีใครสามารถกำหนดราคาพระได้นอกจากวัดที่สร้างขึ้นมาแต่แรก ซึ่งสามารถบอกได้ว่าราคาเหรียญแต่ละรุ่นมีราคาเท่าไร เพราะต้องใช้มวลสารทองคำในปริมาณที่กำหนด
แต่ในวงการพระเครื่องกำหนดราคาแบบนั้นไม่ได้ เพราะพระเครื่องเป็นไปตามกลไกตลาด และไม่มีเซียนพระคนไหนสามารถกำหนดราคาได้ เนื่องจากร้านรับเช่าซื้อพระมีอยู่ทั่วประเทศ
การซื้อถูก-ขายแพงเป็นเรื่องปกติเหมือนวงการอื่น เช่น สินค้าเกษตรที่ขายในประเทศได้ราคาต่ำ แต่เมื่อส่งออกไปต่างประเทศกลับได้ราคาสูง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของทุกวงการ แต่ไม่ใช่การบังคับให้ผู้ซื้อต้องจ่ายราคาตามที่กำหนด
ออนไลน์เปลี่ยนเกมวงการพระ มีทั้งข้อดี-ข้อเสีย
ต้อย เมืองนนท์ เล่าต่อว่า เขาอยู่ในวงการพระเครื่องมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งอายุถึงขนาดนี้ เมื่อจะซื้อพระราคาแพงสักองค์ บางครั้งต้องใช้เวลาส่องนานถึง 2 วัน เพื่อเช็กว่ามีการอุดซ่อมหรือเป็นของแท้หรือไม่
แต่ปัจจุบันมีการประมูลออนไลน์ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากหากมีการซื้อขายพระหลักล้านโดยไม่ได้เห็นองค์จริง เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครยอมซื้อพระราคาเป็นล้านโดยที่ไม่ได้ส่องด้วยตัวเอง
แต่ข้อดีของออนไลน์คือทำให้ทุกคนรู้จักว่าพระบางรุ่นมีราคาแพง ทำให้วงการเป็นที่รู้จักมาก แต่ก็เป็นดาบสองคมได้เช่นเดียวกัน และในช่วงโควิด-19 ที่ทุกคนเดินทางไม่ได้และสนามพระปิด การซื้อขายออนไลน์จึงเป็นทางเลือก แต่หลังจากนั้นก็ลดลง
“การประมูลพระราคา 10-20 ล้านบาท ผมไม่เชื่อว่ามีจริง นอกจากจะมีการดูพระกันมาแล้ว และทำขึ้นเพื่อเป็นคอนเท้นต์เท่านั้น เพราะในโลกนี้ไม่มีใครซื้อพระหลักล้านโดยไม่ได้ส่องแน่นอน การประมูลออนไลน์ในลักษณะนี้มีผลเสียมหาศาลต่อวงการพระทั้งประเทศ เพราะมีการบัญญัติราคากันเอง ทำให้ร้านประมูลที่เคยมีมากมาย ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่เจ้า และคนที่ประมูลเพื่อกักตุนไว้ก็เจ๊งไปตาม ๆ กัน” ต้อย เมืองนนท์ กล่าว
สนามประกวดพระ: สวรรค์ของ ‘เซียนพระ’
รองนายกสมาคมพระเครื่องฯ เล่าถึงเรื่องนี้อย่างน่าสนใจว่า เสน่ห์ของงานประกวดพระเครื่อง คือการที่เหล่าเซียนพระและผู้ชื่นชอบได้มาพบปะแลกเปลี่ยนความรู้กัน และนำพระที่ตัวเองมีมาอวดโฉมให้คนอื่นได้ชม
สำหรับเงินหมุนเวียนในงานนี้ถือเป็นอีกวันสำคัญที่มีเงินสะพัดมหาศาล เพราะเมื่อรวมกับร้านเช่าพระที่เปิดเป็นแผงลอยทั่วประเทศ ซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 3,000 ร้านค้า และอาจเป็นงานที่มีเงินสะพัดนับพันล้านบาทได้
ในมุมของคณะกรรมการตัดสิน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจากทั่วประเทศก็มาพบปะและสานสัมพันธ์กันเช่นกัน โดยพวกเขาเหล่านี้สละเวลามาด้วยใจ ไม่ได้รับผลตอบแทนเป็นเงินทอง แต่ก็อาจมีโอกาสซื้อขายพระเครื่องกันบ้าง ซึ่งถือเป็นผลพลอยได้ แต่ทุกอย่างจะอยู่ภายใต้กฎและระเบียบของสมาคมฯ
นอกจากนี้ อีกหนึ่งเสน่ห์ที่สำคัญ คือผู้ที่ชื่นชอบพระเครื่องหรือเซียนพระที่ขายพระได้กำไรสูง หรือได้เงินจากการประมูล มักจะนำเงินที่ได้ไปบริจาคเพื่อการกุศลเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
“พระสมเด็จวัดระฆัง” ตำนาน Demand–Supply ที่ทำให้ราคาพุ่ง
สำหรับสมเด็จวัดระฆังถือเป็นราชาแห่งพระเครื่องที่มีราคาแพงที่สุด และเป็นพระที่ซื้อขายกันมาตั้งแต่สมัย สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหรังสี) ยังไม่สิ้น เพราะท่านเป็นพระเกจิที่เลอเลิศในทุกด้าน และสร้างพระเครื่องเพียงชนิดเดียวคือ “พระสมเด็จ” ทำให้มีคุณค่าและผู้คนต่างต้องการไว้บูชา
เมื่อความต้องการสูง แต่จำนวนพระที่สร้างมีน้อย (ประมาณ 20,000 องค์) จึงเกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันตั้งแต่สมัยนั้น ยิ่งทำให้พระสมเด็จมีมูลค่าทางเศรษฐกิจตั้งแต่แรกเริ่ม เมื่อของแท้มีจำกัดก็เริ่มมี “พระเก๊” ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ทำให้เกิดข้อถกเถียงเรื่อง “แท้หรือเก๊” มาโดยตลอด
ปัจจุบัน พระสมเด็จที่สภาพสมบูรณ์และมีประวัติชัดเจน ราคาอาจแตะได้ถึง 10 ล้าน ไปจนถึง 100-200 ล้านบาท
ดังนั้น ปัจจัยที่พระสมเด็จวัดระฆังมีราคาสูงที่สุด เพราะ “ศรัทธาในองค์สมเด็จโต” และ “ความหายากของจำนวนพระ” เมื่อ demand สูง แต่ supply มีจำกัด ราคาจึงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นตำนานพระเครื่องอันดับหนึ่งของเมืองไทยจนถึงทุกวันนี้
ตลาดซื้อขายพระเครื่องลดลง 30%
สำหรับภาพรวมตลาดพระเครื่อง รองนายกสมาคมพระเครื่องฯ ระบุว่า ในปัจจุบันอยู่ในสภาวะที่ซบเซา เห็นได้ชัดในปี 2567 มีการซื้อขายลดลงราว 30 % ต่างจากช่วง 3-4 ปีก่อนหน้านี้ที่บูมมาก แต่ไม่ถึงขั้นวิกฤตที่ร้านเช่าพระต้องหยุดชะงักหรือเลิกกิจการ
เพราะคนในวงการที่เป็นกลุ่มคนที่ชื่นชอบเรื่องการสะสมพระเครื่อง หรือเซียนพระ ต่างต้องการที่จะขับเคลื่อนวงการให้มีความเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ด้วยการพยายามซื้อ-ขายกันอย่างปกติ แม้ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อ-ขายกันเอง โดยคาดหวังในอนาคตของที่ซื้อไปจะมีมูลค่าเพิ่มแล้วนำมาขายต่อในตลาดได้อีก เพราะพระเครื่องเป็นสินทรัพย์ที่ยังสามารถซื้อมาขายไปได้
ปัจจัยที่ทำให้ตลาดพระเครื่องซบเซานั้น “ต้อย เมืองนนท์” เชื่อว่า อาจมาจากสถานการณ์ตลาดโลกที่ส่งผลกระทบกับทุกวงการ ไม่เพียงแต่วงการพระเครื่องเท่านั้น เนื่องจากพระเครื่องหรือวัตถุมงคล เป็นของสำหรับคนที่มีกำลังซื้อไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน และไม่ได้จัดอยู่ในสินค้าที่เป็นปัจจัย 4 ที่ทุกคนต้องกินต้องใช้ หรืออุปโภคบริโภค ทำให้คนที่มีกำลังซื้อระมัดระวังเรื่องการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น จึงเป็นเหตุผลที่เม็ดเงินเข้ามาหมุนเวียนในวงการพระเครื่องลดน้อยลงตามสถานการณ์
จีนรุกตลาดพระเครื่องนานแล้ว
ส่วนคนจีนที่เข้ามาสู่วงการพระเครื่องมีมานานแล้ว แต่อาจไม่ลึกซึ้งเท่าคนไทย หรือพุทธศาสนิกชนที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนมากนิยมเล่นพระจากสมัยก่อนที่นึกถึงพุทธคุณ ความศักดิ์สิทธิ์ อภินิหาร และที่มาของประวัติศาสตร์
แต่การเช่าหรือซื้อขายพระของคนจีนจะมุ่งเน้นเป็นตลาดพระใหม่ ซึ่งเริ่มแรกของการเข้าสู่วงการนี้เพราะมีคนคอยแนะนำ และเข้ามาในรูปแบบของนักท่องเที่ยว ต่อมาจึงมีการเช่าพระ แต่ไม่ใช่พระราคาสูงจำนวนหลักหมื่นหลักแสน เป็นการเช่าราคาหลักร้อยหลักพันบาทเท่านั้น
จะว่าไปแล้ว คนจีนเริ่มเข้ามาในวงการพระเครื่องเมื่อช่วงปี 2540 ตอนนั้นเข้ามาจำนวนมาก คนจีนเก่งเรื่องการค้าขาย แต่ช่วงแรกต้องพึ่งพาคนไทย มาขอเช่าพระที่มีการปลุกเสก ต่อมาได้ตั้งตัวเป็นเอเย่นต์ เปิดร้านพระเครื่อง แต่ยังไม่สามารถดูพระเก่าได้ ต้องใช้เวลาศึกษา ซึ่งพระที่เซียนพระเล่นกันจริง ๆ ไม่ได้มีแค่พระเกจิ หรือมีเฉพาะเหรียญพระใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นมาเท่านั้น วงการพระเครื่องลึกซึ้งกว่านั้น และประเทศไทยมีของที่สะสมมาตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าและมีราคา
กล่าวถึงข้อดี-ข้อเสียของทุนจีนกับวงการพระเครื่อง “ต้อย เมืองนนท์” ให้ความเห็นว่า สมัยก่อนพวกเขาเข้ามาเช่าพระ คนไทยเรามีรายได้มีกำไร คนจีนมารับเช่าพระแล้วนำไปปล่อยที่ประเทศเขา แต่ระยะหลังคนไทยมีรายได้น้อยลง เพราะคนจีนเข้ามาเริ่มทำเองโดยไม่ผ่านนายหน้า บางรายทำพระหรือปั๊มพระเครื่องเองได้ด้วย
พันธุ์ทิพย์ศูนย์ใหญ่ดึงดูดทั้งคนไทยและเทศ
สำหรับสัดส่วนคนจีน และชนชาติอื่น ๆ ที่มาเปิดร้านในห้างพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน ปัจจุบันมีประมาณ 20-30 ร้านค้า บางโซนของพื้นที่ชั้น 3 ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าของคนจีน เน้นทำกิจการเป็นโซนจำหน่ายพระใหม่ หรือพระเกจิอาจารย์ ในรูปแบบปลุกเสกวัตถุมงคลเหรียญและพระบูชา โดยมีลูกค้าคือคนจีนด้วยกันเองและซื้อขายด้วยเงินหยวน
นอกจากทุนจีนแล้ว ยังมีทุนจากชาติอื่น ๆ มาลงทุนเป็นเจ้าของร้านค้าอีกนับ 100 ร้านค้า อาทิ ชาวสิงคโปร์ และมาเลเซีย เป็นต้น
ขณะที่ความนิยมหรือพฤติกรรมการซื้อของคนจีนกับคนไทยไม่เหมือนกัน เนื่องจากเซียนพระหรือนักสะสมที่เป็นคนไทยจะมีมุมมองว่า ถ้าเป็นตลาดพระจะมองถึงพระเก่าที่มีคุณภาพ มีชื่อเสียง พระที่ซื้อมาแล้วขายออกไปได้ แต่กับร้านค้าต่างชาติเขาคิดว่า แค่ขายไปแล้วก็จบ
อย่างไรก็ตาม คนจีนที่เน้นซื้อมาขายไปหรือปล่อยออกก็มีบางร้าน เพราะอยู่ไทยมานาน มีประสบการณ์ค้าขาย เข้าใจการหมุนเวียนในตลาดพระ จึงติดตามดูพระเกจิอาจารย์ รวมถึงงานปลุกเสกที่มองว่า ราคาพระจะดีขึ้น สิ่งเหล่านี้ถือว่า คนจีนมีความพยายาม
ช่วงพีกคนจีนเหมาทัวร์มาซื้อ
ทุนจีนส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่อายุ 20-30 ปี เฉลี่ยไม่ถึง 40 ปี ช่วงแรกที่เข้ามาไม่ได้มองเรื่องค้าขาย พอเป็นนายหน้าก็เริ่มเห็นโอกาสจึงลงทุนเปิดร้านเอง ช่วงนี้ถือว่าตลาดจีนเบาลงแล้ว ขณะที่ก่อนหน้านี้เป็นช่วงพีกของตลาดพระใหม่ เพราะมีคนจีนเหมาทัวร์มาเช่าพระที่ห้างพันธุ์ทิพย์เป็นจำนวนมาก แม้ราคาจะไม่สูงแต่เป็นการขายที่เน้นปริมาณ เฉลี่ยซื้อกันคนละ 5-10 องค์ เป็นการซื้อฝากญาติหรือเพื่อนที่จีน
“คนจีนเปลี่ยนสถานะจากนักเช่าพระขาจร มาเป็นเจ้าของร้านค้า หรือบางคนตั้งตัวเป็นเอเย่นต์สร้างพระ ส่งออกเอง เพราะคนไทยใจดี เวลามีพิธีหรืองานปลุกเสกวัตถุมงคลจะเชิญพวกเขา เพราะกลัวเขาไม่มาเช่าพระ พอเขาเห็นและรู้วิธีการทำพระก็จดจำไปทำเอง บางทีคนไทยก็แนะนำให้รู้จักกับอาจารย์ชื่อดัง พวกเขาก็มาหาเอง โดยไม่พึ่งพาคนไทยแล้ว”
“ล่าสุดเริ่มมีคนจีนหันมาจับตลาดพระเก่าแล้ว และมีความได้เปรียบในเรื่องของเงินทุน หากเป็นของมีมูลค่าสูงก็ตัดสินใจซื้อหรือเก็งกำไรได้เร็วกว่า อยากให้นักสะสมพระคนไทยระวังเรื่องการเปิดโอกาส เพราะอนาคตอาจไม่แน่นอน” ต้อย เมืองนนท์ กล่าว
วงการพระเครื่องวันนี้ ไม่ใช่ยุคนักเลง แต่เป็นยุคแห่งความรู้
รองนายกสมาคมพระเครื่องฯ กล่าวในช่วงท้ายว่า อย่าเพิ่งคิดว่าวงการพระทุกวันนี้จะเหมือนสมัยก่อนนะครับ สมัยก่อนคนมักมีอคติว่ามันเป็นวงการนักเลง จนมีคำเรียกติดปากว่า “นักเลงพระ” แต่เอาเข้าจริงแล้วคำนี้ก็มีที่มาที่ไป
แต่ถ้าจะบอกว่าวงการพระเป็น “มาเฟีย” น่ากลัว ตีรันฟันแทงกันเหมือนข่าวเก่า ๆ บอกเลยว่าทุกวันนี้ “ไม่มีแล้ว” ทุกวันนี้การแข่งขันกันอยู่บนพื้นฐานของ สติปัญญา และ ความรู้ มากกว่า
สมัยก่อนอาจจะใช่ และมีความมันเถื่อนหน่อย เพราะคนซื้อพระไปแล้วอยากคืนก็คืนไม่ได้ เงินออกไปแล้วเหมือน “อ้อยเข้าปากช้าง” คืนไม่ได้เลย บางทีก็ต้องอาศัยนักเลงเข้ามากดดัน จึงเกิดภาพลักษณ์ว่าเป็นวงการมาเฟีย แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่แล้ว
พระเก๊สมัยนี้จับได้เร็วมาก เอาไปให้เซียนดูไม่กี่คนก็รู้แล้ว ต่างจากเมื่อก่อนที่บางทีต้องรอเป็นปี ๆ กว่าจะรู้ว่าเก๊ หรือไม่มีใครบอก ไม่มีใครสอน แต่เดี๋ยวนี้ข้อมูลเปิดกว้าง เซียนเยอะ นักสะสมก็มาก ความรู้แพร่หลาย เพราะฉะนั้น “พระเก๊อยู่ยาก” ครับ ขายไม่กี่องค์ก็มีสิทธิโดนฟ้อง โดนตำรวจเล่นแล้ว
สิ่งที่ยังพอมีอยู่ก็คือการ “เล่นเรื่องราคา” อย่างเช่น บอกว่าพระองค์นี้สวยมาก ราคาต้องได้ขนาดนี้ คนเชื่อก็เช่าไป ซึ่งถึงจะดูว่าแพงไปหน่อย แต่พื้นฐานก็คือพระแท้ ไม่ใช่ของปลอม และต่อไปอนาคตมันก็ขึ้นราคาอยู่ดี
ต้องบอกเลยว่าทุกวันนี้ นักเล่นพระส่วนใหญ่มีมโนธรรมมากขึ้น หลายครั้งไม่ใช่แค่ไม่หลอก แต่ยัง “เตือนกัน” ด้วยซ้ำว่า พระแบบนี้ราคาประมาณเท่านี้นะ อย่าไปซื้อแพงเกินไปเลย หรือบางทีก็แอบอิจฉากันบ้าง แต่สุดท้ายก็คือการช่วยเหลือกันในวงการ
ดังนั้น ภาพจำเก่า ๆ ว่า วงการพระเต็มไปด้วยอันธพาล นักเลง หรือมาเฟีย คงต้องบอกว่า มันหมดสมัยไปแล้ว เดี๋ยวนี้เป็น “ยุคฟ้องร้อง” ไม่ใช่ “ยุคนักเลง” อีกต่อไป
“ทุกสนามพระ ทุกศูนย์พระที่คุณไป จะเห็นว่าคนเล่นเยอะ บรรยากาศเต็มไปด้วยคนดี ๆ ที่พร้อมช่วยเหลือ เตือน และแลกเปลี่ยนความรู้กันได้อย่างสบายใจ ไม่ใช่ยุคที่ต้องกลัวว่าจะถูกหลอกหรืวัตถุอถูกข่มขู่เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว” รองนายกสมาคมพระเครื่องฯ กล่าว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ต้อย เมืองนนท์: เปิดโลกธุรกิจพระเครื่อง พระเก๊อยู่ยาก–เซียนยุคใหม่แข่งด้วยความรู้
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net