That's what friends are for เพลงที่ระดุมทุนเพื่อผู้ป่วย AIDS/HIV
ในยุค 1980s ถือเป็นช่วงแรก ๆ ที่เเชื้อ HIV ระบาดหนักในสหรัฐอเมริกา ว่ากันว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีมากถึง 150,000 รายต่อปี และมีผู้เสียชีวิตตั้งแต่ปี 1981-1990 มากถึง 100,777 ราย และผู้ป่วยคนแรกในสหรัฐคือชายรักร่วมเพศ
สาเหตุที่ยอดผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมีมากนับแสนราย เพราะ HIV ถือเป็นเรื่องใหม่ในสังคมอเมริกัน แม้แต่แพทย์ก็ยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเชื้อ HIV นั้นมีที่มาจากไหน หรือมีลักษณะการแพร่ระบาดอย่างไร และกลุ่มคนที่ถูกมุ่งเป้าว่าเป็นต้นตอเชื้อ HIV หนีไม่พ้นกลุ่ม LGBTQ+
อย่างที่กล่าวไปว่าในยุค 80s ผู้ป่วย HIV รายแรกในสหรัฐอเมริกาคือชายรักร่วมเพศ แต่สมัยนั้น วงการแพทย์ยังไม่รู้ว่าที่มาของอาการป่วยนี้คือเชื้อ HIV ช่วงแรกจึงมีการเรียกขานโรคหรืออาการป่วยทำนองนี้ว่า GRID (Gay-Related Immune Deficiency) แปลเป็นไทยคือ ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องของเกย์
ผลที่ตามมาคือกลุ่ม LGBTQ+ กลายเป็นแพะรับบาป ได้รับความเกลียดชังจากคนในสังคม และถูกมองเป็นพวกสกปรก บกพร่องทางศีลธรรม ความหวาดกลัวลุกลามไปถึงการที่ครอบครัวกำชับไม่ให้ไปสุงสิงกับคนกลุ่มนี้ ห้ามพูดคุย ห้ามโดนตัว เพราะกลัวติดเชื้อ HIV
ศิลปินใช้ชื่อเสียงระดมทุนและเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ HIV
มีผู้ป่วย HIV หลายเคสที่เสียชีวิตแล้วสร้างแรงกระเพื่อมในสังคม อาทิ กรณี Ryan White หรือแม้แต่ Rock Hudson นักแสดงชายชาวอเมริกัน ที่จากไปด้วยอาการป่วย HIV และเป็นหนึ่งในเคสที่เพื่อนร่วมวงการออกมา speak up เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อ HIV
Dionne Warwick นักร้องหญิงผิวดำระดับตำนาน เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าเพื่อนสนิทของเธออย่าง Rock Hudson จุดไฟให้บุคคลมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงอเมริกันออกมาสร้างความตระหนักเรื่อง HIV/AIDS อาทิ Elizabeth Taylor ที่เป็นหัวหอกในการเรียกร้อง
“ฉันตัดสินใจออกมาพูดและทำงานเกี่ยวกับเรื่องเอดส์/เอชไอวีอย่างจริงจัง เพราะสูญเสียบุคคลใกล้ชิดไปหลายคน ช่างทำผม ช่างแต่งหน้า ช่างกล้อง ช่างไฟ เราสูญเสียผู้คนไปมากมาย” Dionne Warwick ให้สัมภาษณ์กับ The Guardian ในวัย 83 ปี
บทเพลงแด่เพื่อนของเรา เพื่อนผู้ป่วย HIV/AIDS
"Keep smiling, keep shining
Knowing you can always count on me, for sure
That's what friends are for"
เพลงนี้มีชื่อว่า That’s what friends are for ถูกเขียนขึ้นในปี 1982 โดย Burt Bacharach และ Carole Bayer Sager เพลงนี้มี 2 เวอร์ชัน เวอร์ชันแรกปล่อยออกมาในปี 1982 ร้องโดย Rod Stewart ประกอบภาพยนตร์เรื่อง Night Shift (1982) เดิมแล้ว นัยหรือเนื้อหาของเพลงนี้ก็เป็นการบอกเล่าความสัมพันธ์ฉันเพื่อนทั่วไป
3 ปีต่อมา Rock Hudson ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของทั้ง Rod Stewart และ Dionne Warwick เสียชีวิตลงในวัย 60 ปี Stewart จึงแนะนำให้ Warwick นำบทเพลงนี้ไปร้องระดมทุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์/เอชไอวี ซึ่งกำลังถูกเกลียดชังจากสังคมอย่างรุนแรง
ในปี 1985 Dionne Warwick กำลังจะปล่อยอัลบัมชื่อว่า Friends และมีแผนจะอัดเพลง That’s what friends are for ในเวอร์ชันใหม่ มีเรื่องเล่าว่าคืนก่อนบันทึก Warwick เดินไปเจอ Elon John ที่ร้านขายของชำอย่างบังเอิญ จึงได้พูดคุยกันว่ากำลังจะมีเพลงใหม่ ขอเชิญมาร่วมร้องด้วยกัน
That’s what friends are for ปล่อยออกสู่สาธารชนครั้งแรกในเดือนตุลาคมปี 1985 ในนาม Dionne & Friends แปลว่าไม่ได้มีเธอคนเดียว นักร้องทั้งหมดที่มาร่วมร้องขับกล่อมเพลงนี้ นอกจาก Warwick แล้วยังมี Elton John, Gladys Knight และ Stevie Wonder
การรวมตัวกันของศิลปินระดับตำนานทั้ง 4 คน เนื้อหา และนัยเบื้องหลังทำให้เพลง That’s what friends are for ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 บนบิลบอร์ดชาร์ต คว้ารางวัลแกรมมี่ 2 สาขา ได้แก่ สาขาการแสดงเพลงป๊อปยอดเยี่ยมโดยศิลปินคู่หรือกลุ่ม และสาขาเพลงแห่งปี (Song of the Year)
That’s what friends are for สามารถระดมทุนได้มากกว่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นเงินทั้งหมดจากยอดขายซิงเกิล โดยรายได้ทั้งหมด หมดมอบให้กับมูลนิธิ มูลนิธิเพื่อการวิจัยโรคเอดส์ (The American Foundation for AIDS Research) เพื่อทำวิจัยการป้องกันเอชไอวี รวมถึงสนับสนุนนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์
“ตอนนั้นมันเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ผู้คนไม่เข้าใจและหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงมัน และการได้ร่วมร้องเพลงนี้เป็นสิ่งที่เราต้องทำเพื่อบอกให้โลกรู้ว่าผู้ป่วยเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลือ” Elton John กล่าว
Gladys Knight กล่าวว่าเพลงนี้เป็นมากกว่าเพลงรักธรรมดา แต่เป็นเพลงที่สื่อถึงความเห็นอกเห็นใจและความเป็นเพื่อนที่แท้จริง “เพลงนี้เป็นข้อความที่บอกว่าเราทุกคนต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
ทิ้งท้ายกันไปด้วยคำกล่าวของ Stevie Wonder ศิลปินตาบอดเจ้าของเสียงทรงพลัง กล่าวไว้ว่า “เพลงนี้เป็นมากกว่าเพลง มันเป็นข้อความถึงโลกใบนี้ว่าเราต้องรักกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะคนที่กำลังเผชิญกับความยากลำบาก”
เรื่องราวของเพลง That’s what friends are for จึงไม่ใช่แค่เพลงฮิตระดับโลก แต่เป็นสัญลักษณ์ของการรวมพลังของกลุ่มคนที่เชื่อในความเมตตาและการช่วยเหลือกันในยามยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มผู้ป่วย HIV/AIDS ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นคนไร้ศีลธรรม
ที่มา: People
ข่าวที่เกี่ยวข้อง