‘AI’ พลังใหม่ทางการศึกษา
เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรังมายาวนาน สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพคนซึ่งก็คือกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ
แม้ทุกวันนี้เราจะเห็นการสอบแข่งขันต่างๆ ที่มีเด็กจำนวนไม่น้อยทำคะแนนสูงลิบลิ่ว แต่ความจริงแล้วคะแนนเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนคุณภาพโดยรวมของระบบการศึกษาเลย
หากมองให้ลึกลงไปจะพบว่าคะแนนที่ดีนั้นมักกระจุกอยู่เพียงในเขตเมืองใหญ่ที่มีโรงเรียนเก่าแก่และมีทรัพยากรพร้อม ในขณะที่เด็กในชนบทยังคงเผชิญกับปัญหาคะแนนต่ำ คุณภาพการสอนที่จำกัด และโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกัน
อีกปัญหาที่เห็นชัดคือเรื่อง คุณภาพครู ย้อนกลับไปในอดีต คนที่จะมาเป็นครูได้มักเป็นเด็กหัวกะทิในจังหวัด สอบแข่งขันเข้ามาและได้รับการยกย่องอย่างสูง พ่อแม่ในยุคนั้นเชื่อมั่นในครู แม้ครูจะใช้การตีเพื่ออบรมสั่งสอนก็ยังยอมรับได้ เพราะรู้ว่าทำด้วยความหวังดี แต่ปัจจุบันภาพลักษณ์ครูกลับเปลี่ยนไปมาก
การไปเยี่ยมชมงานเอ็กซ์โปที่ญี่ปุ่นของผมเมื่อเดือนที่แล้ว ได้เห็นการแสดงวิสัยทัศน์ของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะการใช้ AI ที่ไม่ได้จำกัดแค่ในทางธุรกิจ การแพทย์ หรือการเงินเท่านั้น แต่ “การศึกษา” ถูกยกขึ้นมาเป็นหัวใจสำคัญ เพราะญี่ปุ่นมองว่า AI จะเป็นเครื่องมือสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยลดช่องว่างระหว่างเด็กได้เป็นอย่างดี
แนวโน้มเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศยักษ์ใหญ่อย่าง ญี่ปุ่น จีน สหรัฐ แต่อีกหลายประเทศก็เดินหน้าในทิศทางเดียวกัน เพราะต่างตระหนักว่า หากการศึกษาไม่ถูกยกระดับ ประเทศก็ไม่สามารถแข่งขันในโลกยุคใหม่ได้
เพราะหนึ่งในข้อจำกัดสำคัญของการศึกษาดั้งเดิมคือ ครูหนึ่งคนต้องดูแลเด็กหลายสิบคนในห้องเรียน การสอนจึงมักเป็นแบบมาตรฐานเดียว ไม่สามารถปรับตามศักยภาพหรือความถนัดของแต่ละคนได้ เด็กที่เรียนช้าอาจตามไม่ทัน ส่วนเด็กที่เรียนเร็วก็ไม่ได้รับการต่อยอด
AI สามารถเข้ามาเติมเต็มในจุดนี้ เพราะสามารถวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของนักเรียนแต่ละคน และปรับเนื้อหาให้เหมาะสมได้อย่างละเอียด เช่น เด็กบางคนถนัดด้านการคำนวณ แต่ไม่เข้าใจการอ่านจับใจความ AI สามารถจัดชุดแบบฝึกหัดเฉพาะบุคคล เสริมทักษะที่อ่อนแอ และต่อยอดความสามารถทำให้เด็กทุกคน โตเต็มศักยภาพของตนเองได้
แต่ AI ก็ไม่ใช่ยาวิเศษที่ไม่สามารถทดแทนครูได้ เพราะการสอนมิใช่เพียงการถ่ายทอดความรู้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการ สร้างแรงบันดาลใจและความเข้าใจมนุษย์ที่ AI ไม่มี ดังนั้น AI ควรถูกมองว่าเป็น “ผู้ช่วยครู” ที่ทำให้ครูมีเวลาเพิ่มขึ้น ลดภาระงานเอกสาร และใช้เวลาที่เหลือไปโฟกัสกับเด็กได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้คือครอบครัว งานวิจัยจำนวนมากชี้ตรงกันว่า การที่พ่อแม่มีส่วนร่วมกับการศึกษาของลูกมีผลอย่างยิ่งต่อความสำเร็จทางการเรียน สิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือการประสานกันระหว่าง ครู พ่อแม่ และ AI
การศึกษาไม่ควรถูกมองเพียงว่าเป็นบันไดสู่มหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ควรเป็นกระบวนการที่ช่วยให้เด็กคิดเป็นระบบ รู้จักแก้ปัญหา และมองเห็นเส้นทางอนาคตของตัวเอง AI จึงมีบทบาทสำคัญในการทำให้สิ่งนี้เป็นจริง โดยเฉพาะการยกระดับเด็กกลุ่มกลางและเด็กด้อยโอกาสที่มักถูกมองข้าม
เมื่อเด็กเหล่านี้ได้รับโอกาสและการเรียนรู้ที่เหมาะสม พวกเขาก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของสังคมได้ และเมื่อวันหนึ่งพวกเขาเข้าสู่โลกของการทำงาน เขาก็จะเป็นประชากรที่มีคุณภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไปสู่อนาคต