สื่อนอกมองวิกฤติการเมืองไทยช้ำหนัก หวั่น'ถูกหั่นเครดิต'กดดันลดดอกเบี้ย 0.5%
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานเชิงวิเคราะห์วันนี้ (2 ก.ย. 68) ว่า ท่ามกลางการแข่งขันของพรรคการเมืองใหญ่ในประเทศไทยเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งอาจมีวาระอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน บรรดานักเศรษฐศาสตร์ต่างมองเห็นความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่เพิ่มขึ้น และมีโอกาสสูงที่อาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากกว่าเดิม โดยบางสำนักคาดว่าอาจลดลงถึง 0.5% ในเดือนหน้า
ประเทศไทยตกอยู่ในบรรยากาศวุ่นวายทางการเมืองตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษาให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง คำตัดสินดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดการแข่งขันกันระหว่าง "พรรคเพื่อไทย" และ "พรรคภูมิใจไทย" เพื่อแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยทั้งสองพรรคต่างเร่งหาเสียงสนับสนุนจาก "พรรคก้าวไกล" ที่เรียกร้องให้มีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ภายในไม่กี่เดือน
"หากความไม่แน่นอนทางการเมืองนำไปสู่การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ กระบวนการอาจยืดเยื้อออกไป และจะกดดันโมเมนตัมการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่กำลังอ่อนแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว" นางลาวัลญา เวนกาเตศวรัน นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคาร OCBC ในสิงคโปร์ กล่าว
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากมาตรภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ และการปะทะกันทางชายแดนกับกัมพูชา รัฐบาลประเมินว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568 นี้ จะโตเฉลี่ยเพียง 2% ซึ่ง "ต่ำกว่าครึ่ง" เมื่อเทียบกับการเติบโตของประเทศเพื่อนบ้านอย่าง "อินโดนีเซีย" และ "ฟิลิปปินส์"
จับตาธปท. ลดดอกเบี้ยเพิ่ม
นับตั้งแต่เดือนต.ค. ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้วรวม 1.0% ทำให้อัตราดอกเบี้ยของไทยลดลงเหลือ 1.5% และระบุว่าจะพิจารณาลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม หากเห็นแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจมีสัญญาณ "ชะลอตัวลงรุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ" หรือเผชิญแรงกระแทกที่คาดไม่ถึง
"หากมีความล่าช้าในการดำเนินนโยบายและแรงกระแทกต่อความเชื่อมั่นยังดำเนินต่อ ธปท.อาจ 'เร่งการผ่อนคลายทางการเงิน' แต่ก็อาจจะลดดอกเบี้ยลงไม่ได้มากนัก เนื่องจากข้อจำกัดเชิงโครงสร้างและแรงกดดันจากภายนอก" นางคริสตัล ตัน นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคาร ANZ กล่าวพร้อมคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ในไตรมาส 4
ขณะที่นายทิม ลีฬหะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายเศรษฐศาสตร์ประจำประเทศไทยและเวียดนาม ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) มีมุมมองที่ต่างออกไปจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ โดยคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยถึง 0.5% ในการประชุมกนง. วันที่ 8 ต.ค. นี้ โดยส่วนหนึ่งเนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ
"การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีไปเป็นพรรคการเมืองอื่น จะส่งผลกระทบต่อทิศทางนโยบายโดยสิ้นเชิง รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้เกิดการสะดุดในระยะสั้น” นักเศรษฐศาสตร์สแตนชาร์ด กล่าว
เสี่ยงถูก Moody's หั่นเครดิต
ด้านโนมูระ โฮลดิงส์ อิงค์ ซึ่งก่อนหน้านี้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยของไทย ณ สิ้นปีนี้จะลดลงต่ำกว่า 1% ได้เตือนถึงความเสี่ยงที่ "อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ" อาจถูกบริษัทจัดอันดับเครดิต"มูดี้ส์" (Moody's) ปรับลดลงในอีกไม่กี่ไตรมาสข้างหน้า เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซาลงอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้ในเดือนเม.ย. 2568 มูดีส์ได้ปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจากมีเสถียรภาพ (Stable) ลงมาเป็นเชิงลบ (Negative) เนื่องจากผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐที่อาจกระทบการค้าและการเติบโตของไทย รวมถึงความไม่แน่นอนของโลกที่เพิ่มขึ้น และความท้าทายในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงอันดับเครดิตของรัฐบาลไทยที่ Baa1
หลังมีคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ มูดี้ได้ส์ระบุในบทวิเคราะห์ล่าสุดว่า การเมืองไทยที่แตกแยกหลายขั้ว ซึ่งมีลักษณะเป็นรัฐบาลผสมที่เปราะบางและมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง เป็นปัจจัยฉุดรั้งการลงทุนและทำให้การปฏิรูปที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยต้องหยุดชะงัก
บลูมเบิร์กระบุว่ายังพอมีข่าวดีอยู่บ้างสำหรับประเทศไทย เมื่อสภาผู้แทนราษฎรผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ออกมาแล้ววงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท เริ่มมีผลวันที่ 1 ต.ค. นี้ และคาดว่าจะผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาในวันอังคาร ซึ่งช่วยผ่อนคลายความกังวลให้นักลงทุนว่าจะไม่เกิดปัญหางบประมาณชะงักงันเหมือนที่เคยเกิดขึ้นนานหลายเดือนเมื่อปี 2562
อย่างไรก็ดี ทางด้านบริษัทจัดอันดับเครดิต"เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์" (S&P Global Ratings) ระบุว่าในบันทึกล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ว่า ความผันผวนทางการเมืองหลังการถอดถอนนายกรัฐมนตรี "ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยอย่างรุนแรง" โดยเอสแอนด์พีคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของรัฐบาลมากนัก เนื่องจาก "ระบบราชการของไทย" เป็นสถาบันที่ช่วยพยุงเสถียรภาพให้ประเทศมาได้นับตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเมืองปี 2549
กระนั้น "ความตกลงทางการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ" ที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียด อาจได้รับผลกระทบจากความไม่สงบทางการเมืองโดยเฉพาะหากมีการยุบสภา เนื่องจากสาระสำคัญบางส่วน เช่น การลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
ด้านนายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยอาจสะดุดลงในหลายด้านหากเกิดสภาวะอัมพาตทางการเมือง
"การเบิกจ่ายงบประมาณ การดำเนินโครงการลงทุน และข้อตกลงการค้ากับสหรัฐจะสะดุด หากเกิดสภาวะอัมพาตทางการเมือง" นายบุรินทร์กล่าว "ไม่มีข่าวดีเลย"