นิวซีแลนด์แชมป์ Work Life Balance ดีที่สุด 3 ปีซ้อน ส่วนไทยอันดับ 41
ในโลกการทำงานของบางประเทศ วัยทำงานกำลังเหนื่อยล้าจากการโหมงานหนัก เผชิญกับวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นชั่วโมงการทำงานอันยาวนาน ไม่มีเวลาให้ชีวิตส่วนตัว จนนำไปสู่อาการหมดไฟ แต่สำหรับวัยทำงานชาว "นิวซีแลนด์" ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนั้น! ประเทศนี้กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ จัดลำดับความสำคัญให้ชีวิตมาก่อนการทำงาน และขึ้นแท่นเป็นผู้นำด้านนี้อย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด.. มีรายงานการจัดอันดับ Global Life-Work Balance Index จาก Remote Research แพลตฟอร์มด้าน HR ระดับโลก ได้เปิดเผยว่า นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่มีสมดุลชีวิตและการทำงาน ดีที่สุดในโลกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยในปีนี้มีคะแนนสูงถึง 86.87 จากคะแนนเต็ม 100 (การจัดอันดับนี้เปลี่ยนมาใช้คำว่า “Life-Work Balanc” แทน “Work-Life Balance” เพื่อเน้นย้ำถึงปรัชญาที่ว่า ชีวิตควรมาก่อนสิ่งอื่นใด)
โดยทีมวิจัยของ Remote ได้ศึกษาและรวบรวมข้อมูลทั้งหมด 60 ประเทศทั่วโลก ที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อวัดว่าประเทศใดที่ทำให้พนักงานสามารถ "ใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างดี" โดยปัจจัยที่ใช้วัดนั้นครอบคลุมตั้งแต่ จำนวนวันลาหยุดที่ได้รับค่าจ้าง, การลาป่วย, นโยบายการลาคลอด, ค่าแรงขั้นต่ำ, การดูแลสุขภาพ, ความสุขของประชากร, ชั่วโมงการทำงาน, ความเท่าเทียมของกลุ่ม LGBTQ+, และความปลอดภัยโดยรวม
นิวซีแลนด์ ทำไมขึ้นแท่นประเทศแห่งสมดุลชีวิตการทำงาน 3 ปีซ้อน?
จากข้อมูลในรายงานฉบับดังกล่าว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม "นิวซีแลนด์" ถึงได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ของประเทศที่มีสมดุลชีวิตและการทำงานดีที่สุดในโลก นั่นก็เพราะความโดดเด่นในหลายด้าน ที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็น
1. วันลาพักร้อนที่ได้รับค่าจ้าง: พนักงานสามารถเพลิดเพลินกับวันลาพักร้อนที่ได้รับค่าจ้างสูงถึง 32 วันต่อปี ซึ่งถือว่าอยู่ในกลุ่มที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากที่สุดในโลก
2. นโยบายการลาคลอดที่ยอดเยี่ยม: ให้พนักงานประจำลาคลอดโดยได้รับค่าจ้างเต็มจำนวนถึง 6 เดือน หรือสูงสุด 26 สัปดาห์ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
3. ค่าแรงขั้นต่ำในเรตที่สูง: ด้วยค่าแรงขั้นต่ำประมาณ 16.42 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อชั่วโมง หรือประมาณ 532 บาทต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นอันดับสองที่สูงที่สุดใน 60 ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับ
4. การดูแลสุขภาพที่เข้าถึงได้: ระบบการดูแลสุขภาพได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน
5. สังคมที่ปลอดภัยและเปิดกว้าง: นิวซีแลนด์มีอันดับความปลอดภัยสาธารณะที่แข็งแกร่ง และยังได้คะแนนสูงสำหรับการยอมรับความเท่าเทียมกันของกลุ่ม LGBTQ+
6. วัฒนธรรมที่ให้ชีวิตมาก่อนงาน: นอกเหนือจากนโยบายที่ดีแล้ว นิวซีแลนด์ยังมีวัฒนธรรมที่เชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งว่า "เราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต" ไม่ใช่แค่ทำงานไปวันๆ ผู้คนให้ความสำคัญกับการใช้เวลากับครอบครัว, การสำรวจธรรมชาติ, และการมีส่วนร่วมในชุมชนท้องถิ่นอย่างกระตือรือร้น สถานที่ทำงานมักส่งเสริมตารางเวลาที่ยืดหยุ่น, เลิกงานเร็วในวันศุกร์, และโอกาสในการทำงานจากระยะไกลเท่าที่จะทำได้ ซึ่งชาวกีวี (Kiwis) ภาคภูมิใจในสมดุลนี้ และเป็นเหตุผลหนึ่งที่หลายคนเลือกมาใช้ชีวิตที่นี่
ผลลัพธ์คือ นิวซีแลนด์ได้รับการจัดอันดับอย่างต่อเนื่องว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก โดยผู้อยู่อาศัยรายงานว่ามีความพึงพอใจในชีวิตสูง, มีการสนับสนุนทางสังคมที่แข็งแกร่ง, และมีระดับความเครียดส่วนบุคคลต่ำ
เช็กประเทศอื่นๆ ติด Top 10 จากทั่วโลก และความแตกต่างเรื่องสมดุลชีวิต
สำหรับประเทศอื่นๆ ที่มีสมดุลชีวิต-การทำงานที่ดีเยี่ยม รองลงมาจากนิวซีแลนด์ได้แก่ ไอร์แลนด์ (อันดับ 2) คะแนน 81.17 โดยได้รับแรงหนุนจากค่าแรงขั้นต่ำที่ค่อนข้างสูงและนโยบายการลาคลอดที่เอื้อเฟื้อ
เบลเยียม (อันดับ 3) คะแนน 75.91 โดดเด่นด้วยนโยบายการลาป่วยและอัตราการจ่ายเงินลาคลอด อีกทั้งยังมีอัตราความสุขสูงที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป และมีสัปดาห์การทำงานที่สั้นกว่า (เฉลี่ย 34.1 ชั่วโมง)
เยอรมนี (อันดับ 4): คะแนน 74.65
นอร์เวย์ (อันดับ 5): คะแนน 74.20
เดนมาร์ก (อันดับ 6): คะแนน 73.76
แคนาดา (อันดับ 7): คะแนน 73.46
ออสเตรเลีย (อันดับ 8): คะแนน 72.10
สเปน (อันดับ 9): คะแนน 71.94
ฟินแลนด์ (อันดับ 10): คะแนน 70.86
ขณะที่ประเทศไทยและประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ มีคะแนนและนโยบายที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับนิวซีแลนด์ สำหรับประเทศไทย (อันดับ 41) มีคะแนนรวม 45.86, มีวันลาพักร้อน 19 วัน (น้อยกว่านิวซีแลนด์ 13 วัน), การลาคลอดแบบได้รับค่าจ้าง 12.6 สัปดาห์ โดยได้รับค่าจ้าง 50% (น้อยกว่านิวซีแลนด์อย่างมากทั้งในด้านระยะเวลาและอัตราการจ่าย)
ด้านค่าแรงขั้นต่ำ 1.50 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 49 บาทต่อชั่วโมง ต่ำกว่านิวซีแลนด์หลายเท่า) ขณะที่ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 42.25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (นานกว่านิวซีแลนด์ประมาณ 9 ชั่วโมง), คะแนนดัชนีความสุข 6.22 และ คะแนนการไม่แบ่งแยก LGBTQ+ อยู่ที่ 69
จากตารางข้อมูลจะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีตัวเลขที่ต่ำกว่านิวซีแลนด์ในเกือบทุกตัวชี้วัดสำคัญที่ใช้ประเมินสมดุลชีวิตและการทำงาน เช่น วันลาพักร้อน การลาคลอด ค่าแรงขั้นต่ำ และชั่วโมงการทำงานเฉลี่ย
ประเทศในแถบเอเชีย ส่วนใหญ่มีสมดุลชีวิตแซงหน้าประเทศไทย นำโด่งด้วยสิงคโปร์
ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชีย ตามรายงานระบุการจัดอันดับเอาไว้ดังนี้ สิงคโปร์ (อันดับ 25), มาเลเซีย (อันดับ 27), ญี่ปุ่น (อันดับ 29), ไต้หวัน (อันดับ 30), เกาหลีใต้ (อันดับ 31), อินโดนีเซีย (อันดับ 34), และ เวียดนาม (อันดับ 39)
ทุกประเทศล้วนมีคะแนนรวมด้านสมดุลชีวิตและการทำงาน สูงกว่าประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าประเทศเหล่านี้ มีนโยบายหรือปัจจัยทางวัฒนธรรมที่เอื้อต่อสมดุลชีวิตและการทำงานที่ดีกว่าในภาพรวมเมื่อเทียบกับประเทศไทย
การที่ประเทศในเอเชียหลายแห่ง รวมถึงเวียดนาม สามารถทำคะแนนได้ดีกว่าประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่าแม้ในภูมิภาคเดียวกัน ก็มีความแตกต่างกันในเรื่องนโยบายและทัศนคติต่อการทำงานและชีวิตส่วนตัว การลาพักได้น้อย ระบบดูแลสุขภาพที่ไม่ทั่วถึง ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน และนโยบายที่จำกัด อาจนำไปสู่ปรากฏการณ์ "ภาวะหมดไฟแพร่ระบาด" (burnout epidemic) ในหมู่พนักงานได้
ทั้งนี้ในทางกลับกัน ประเทศที่มีสมดุลชีวิต-การทำงานที่อ่อนแอที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ไนจีเรีย, สหรัฐอเมริกา, อียิปต์, บังกลาเทศ, และเอธิโอเปีย
วัยทำงานยุคใหม่ ต้องการมีสมดุลชีวิตการงานเพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน พนักงานรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z และ Millennials กำลังให้ความสำคัญกับสมดุลชีวิตและการทำงานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ผลสำรวจพบว่า สมดุลชีวิตและการทำงาน เป็นสิ่งที่ Gen Z ให้ความสำคัญสูงสุดเมื่อพิจารณางานประจำ โดยแซงหน้าเงินเดือน
กว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่ม Millennials ยินดีที่จะลดเงินเดือน 20% เพื่อไลฟ์สไตล์ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต โดย 77% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า พวกเขาให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัวที่สมดุลมากกว่าความสำเร็จหรือการเติบโตในที่ทำงาน
อย่างไรก็ตาม นิวซีแลนด์ได้พิสูจน์แล้วว่าวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับชีวิตเป็นอันดับแรกและเป็นมิตรกับครอบครัวนั้น ไม่ใช่แค่แนวคิดในอุดมคติ แต่เป็นสิ่งที่ทำได้จริงและเป็นประโยชน์ต่อทุกคน ..หากคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังฝันถึงการย้ายไปอยู่ประเทศที่สมดุลชีวิตและการทำงานไม่ใช่แค่สิทธิประโยชน์ แต่กลายเป็นวิถีชีวิตของทุกวัน นิวซีแลนด์อาจกำลังเรียกหาคุณอยู่ก็เป็นได้
อ้างอิง: Remote Research, Fortune, workingin-newzealand,