จากพื้นที่ปลอดภัยสู่พื้นที่ ‘เสี่ยง’ เมื่อ Tea App พื้นที่แชร์ประสบการณ์ ‘Red Flags’ ถูกแฮกข้อมูลส่วนตัว
แอปพลิเคชัน Tea เปิดตัวในปี 2566 ด้วยเป้าหมายสร้าง ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้ผู้หญิงสามารถแชร์ประสบการณ์การออกเดต เตือนภัยพฤติกรรมไม่เหมาะสม และระบุ Red Flags ของผู้ชายโดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน กลายเป็นแอปฯ ยอดนิยมอันดับหนึ่งบน App Store ในสหรัฐอเมริกา แต่ความนิยมกลับมาพร้อมกับความเสี่ยง เมื่อข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานหลายคนรั่วไหลสู่อินเทอร์เน็ต สิ่งที่ควรเป็นแหล่งปลอดภัย กลับกลายเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นส่วนตัวและชีวิตของผู้หญิงหลายราย
เหตุการณ์นี้กลายเป็นประเด็นระดับประเทศและระดับโลก เพราะไม่เพียงแต่เป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว แต่ยังกลายเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อผู้หญิงที่เชื่อว่า Tea จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับพวกเธอ
แล้วเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้หญิง แท้จริงแล้วสามารถสร้างพื้นที่ปลอดภัยได้จริงไม่
Tea แอปฯ ที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องผู้หญิง
Tea Dating Advice หรือ Tea แอปฯ ที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องผู้หญิง ซึ่งเปิดตัวในปี 2566 ด้วยแนวคิดสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้หญิงสามารถแชร์ประสบการณ์การออกเดตหรือเตือนภัยเกี่ยวกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมของผู้ชายในโลกออนไลน์ เช่น การถูกทำร้ายหรือการบังคับขู่เข็ญ ไปจนถึงเรื่องส่วนตัว อย่างการสื่อสารไม่ดีหรือมีความไม่พร้อมทางอารมณ์ โดยมีจุดเด่นคือการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้โพสต์ Red Flags โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน
หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือ ระบบค้นหาข้อมูลย้อนกลับจากรูปภาพ (Reverse Image Search) และการตรวจสอบประวัติเบื้องต้นของคู่เดต เพื่อช่วยป้องกันการถูกหลอกลวงหรือคุกคามทางเพศ ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในยุคเดตออนไลน์
Tea กลายเป็นหนึ่งในแอปฯ ยอดนิยมในสหรัฐอเมริกา โดยขึ้นเป็นอันดับ 1 บน App Store ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และปัจจุบันอยู่ในอันดับ 2 รองจาก ChatGPT นอกจากนี้ยังมีฐานผู้ใช้นับล้านคนทั่วโลกและได้รับการยอมรับว่า เป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่เน้นความปลอดภัยของผู้หญิง ข้อมูลจาก Forbes รายงานว่า แอปฯ ถูกดาวน์โหลดมากกว่าล้านครั้งภายในสัปดาห์เดียว และบริษัทเองระบุว่า มีผู้ใช้งานกว่า 4.6 ล้านคน ที่เข้ามาอ่านและแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับการเดต
ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว Tea ได้รับการจับตามองจากนักลงทุนและสื่อทั่วโลก ทว่าในขณะเดียวกันก็เริ่มมีเสียงวิจารณ์จากกลุ่มผู้ชายบางกลุ่มว่า การเปิดเผยข้อมูลฝ่ายเดียวอาจนำไปสู่การ ‘ล่าแม่มด’ และการใส่ร้ายแบบไม่มีหลักฐาน อย่างไรก็ตามแม้จะมีเสียงโต้แย้งในบางแง่มุม Tea ก็ยังถูกมองว่า เป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยทางดิจิทัลของผู้หญิง
TeaOnHer แอปฯ ใหม่ แนวคิดเดิม
สิ่งที่เคยเป็นแค่การคุยกันในหมู่เพื่อนสนิท ตอนนี้ถูกขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นธุรกิจผ่านเทคโนโลยี และมีผลกระทบก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
แซ็ก ซิดเลอร์ (Zac Seidler) กล่าวว่า แอปฯ Tea ทำให้ผู้ชายรุ่นใหม่หลายคนรู้สึกเหมือนถูกจับตามองอยู่ตลอด และเกิดความกังวลเรื่องชื่อเสียง ซึ่งทำให้ช่องว่างระหว่างชายกับหญิงกำลังถูกเอาไปใช้เป็นเครื่องมือโดยแพลตฟอร์มเหล่านี้ และยิ่งทำให้การสื่อสารแบบเปิดใจระหว่างเพศยากขึ้น
TeaOnHer จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโต้กลับ เป็นเวอร์ชัน ‘สลับเพศ’ ของแอปฯ Tea ที่เดิมทีเปิดให้ผู้หญิงโพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับผู้ชายแบบไม่ระบุตัวตน โดยใน TeaOnHer ผู้ชายสามารถโพสต์เรื่องผู้หญิงได้โดยไม่เปิดเผยตัวตนได้เช่นกัน จุดประสงค์ของผู้พัฒนาอาจเป็นเพียงเพื่อสร้างพื้นที่ให้ผู้ชายแสดงความคิดหรือประสบการณ์ส่วนตัว ทว่าผู้เชี่ยวชาญมองว่า แอปฯ ของผู้หญิงถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือกัน แต่ของผู้ชายดูเหมือนจะเกิดจากความโกรธและการแก้แค้นมากกว่า
การรั่วไหลของข้อมูล
ในเดือนกรกฎาคม Tea ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ความมั่นคงไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในวงการแอปฯ ข้อมูลของผู้ใช้งานกว่า 1 แสนคนถูกแฮกและถูกนำไปเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม 4chan โดยมีทั้งรูปภาพและข้อความที่มีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
ในบรรดาข้อมูลที่รั่วไหล มีรูปภาพมากกว่า 7.2 หมื่นภาพ ที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการยืนยันตัวตน เช่น เซลฟี่พร้อมบัตรประชาชน บัตรขับขี่ หรือภาพหน้าจอของการแชตระหว่างผู้ใช้ ขณะเดียวกันยังมีข้อความส่วนตัวจำนวนมหาศาลที่หลุดออกไป
สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดคือ ข้อความหลายหมื่นรายการมีเนื้อหาที่เป็นความลับระดับสูง เช่น การพูดถึงความรุนแรงในครอบครัว การตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ หรือการนัดพบส่วนตัวกับบุคคลอื่น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้หากถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด อาจสร้างอันตรายอย่างร้ายแรงต่อเจ้าของข้อมูล
ผู้ใช้งานจำนวนมากรายงานว่า ข้อมูลของตนเองถูกนำไปแชร์ต่อในกลุ่มต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตแบบไม่สามารถควบคุมได้ บางรายถึงขั้นต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ลบบัญชีโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนที่อยู่อาศัยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกติดตาม
สำนักข่าว BBC พบว่า มีเว็บไซต์ แอปฯ และเกม ได้นำภาพหลุดดั่งกล่าวไปใช้ รวมไปถึงผู้ชายได้เข้าไปจัดอันดับและวิจารณ์รูปร่างหน้าตาของผู้หญิงอีกด้วย
การตอบสนองของ Tea และคำถามถึงความรับผิดชอบ
Tea ออกแถลงการณ์ขอโทษผู้ใช้และระบุว่า กำลังประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อสืบหาสาเหตุของการแฮกและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำ
แอปฯ ยังแจ้งให้ผู้ใช้เปลี่ยนรหัสผ่าน และระงับบัญชีที่มีความเสี่ยง อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายวิจารณ์ว่า การตอบสนองของบริษัทล่าช้า และไม่ให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ หรือมาตรการเยียวยาอย่างเป็นรูปธรรม
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยดิจิทัลไม่สบายใจก็คือการที่ Tea ใช้ Google Firebase ในการจัดเก็บข้อมูลโดยไม่มีการเข้ารหัสหรือระบบป้องกันหลายชั้น (Multi-Layer Security) ซึ่งถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
นอกจากนี้ Tea ยังยอมรับว่าบางข้อมูล เช่น ภาพถ่ายยืนยันตัวตนและข้อความในระบบ แท้จริงแล้วไม่ได้ลบออกจากเซิร์ฟเวอร์แม้ผู้ใช้จะปิดบัญชีไปแล้ว โดยอ้างว่าเป็น ‘หลักฐาน’ เพื่อใช้ในกรณีเกิดการร้องเรียนการคุกคาม ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นเหตุผลที่คลุมเครือและขัดต่อหลักการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ผลกระทบทางกฎหมายและการฟ้องร้องแบบกลุ่ม
หลังจากเหตุการณ์รั่วไหล ผู้ใช้จำนวนมากรวมตัวกันฟ้องร้อง Tea ในลักษณะ Class-Action Lawsuits โดยมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับความประมาทในการจัดเก็บข้อมูล การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลในหลายรัฐของสหรัฐฯ
ในบรรดาผู้ฟ้องร้อง มีหญิงสาวจำนวนหนึ่งที่เปิดเผยว่า ตนเองเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศ หรือเคยหลบหนีจากคู่รักที่ใช้ความรุนแรง และได้ใช้ Tea เพื่อหลีกเลี่ยงบุคคลเหล่านั้น การที่ข้อมูลพวกเธอหลุดออกไปจึงอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่อันตรายถึงชีวิต
คดีความเหล่านี้กำลังอยู่ระหว่างการรวมพิจารณาในศาลกลาง โดยมีเป้าหมายในการเรียกค่าชดเชยความเสียหายทั้งในเชิงทรัพย์สินและจิตใจ พร้อมทั้งกดดันให้ Tea ปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย และเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการรั่วไหลให้มากขึ้น
ประเด็นนี้อาจกลายเป็น ‘กรณีตัวอย่าง’ สำคัญในยุคของแอปฯ ที่เก็บข้อมูลลึกและละเอียด โดยเฉพาะในแอปฯ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความสัมพันธ์ เพศ หรือสุขภาพจิต
อ้างอิง:
https://www.bbc.com/news/articles/ce87rer52k3o
https://cybernews.com/security/tea-app-breach-sensitive-data-exposed/